วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Asp.net MVC ตอน 3 DataTable & Linq

Linq คืออะไร?
สำหรับการพัฒนาด้วย .net Framework แต่เดิมมีการติดต่อฐานข้อมูล ด้วย ADO.net โดยการใช้ Dataset กับ DataTable ซึ่งใช้ตั้งแต่ .net Framework 2.0 (หรือก่อนหน้านั้น) มาจนถึงปัจจุบัน .Net framework 4.5
และการติดต่อฐานข้อมูลรุ่นใหม่ที่มีการเริ่มใช้ตั้งแต่ .net framework 3.5 Sp1 นั่นก็คือ Entity Framework แต่ว่า ภายใน Entity Framework นั้นจะมี รูปแบบการเขียน Query ที่แตกต่างจาก ภาษา SQL ทั่วไป โดยภาษาที่เขียนนั้น เรียกว่า "LINQ to sql"  ผมจะขออธิบายตั้งแต่การเขียนแบบ ติดต่อแบบ DataTable นะครับ

การเขียน แบบ DataSet นั้นมีรูปแบบการเขียน ติดต่อกับฐานข้อมูลคร่าวๆ ดังนี้

string str_query = "SELECT * FROM PRODUCT";
            string str_conn = "SERVER=(LOCAL);user=sa;password=xxxx";
            SqlConnection sqlcon = new SqlConnection(str_conn);
            SqlDataAdapter adap = new SqlDataAdapter(str_query, sqlcon);
            DataTable dt_item = new DataTable();
            adap.Fill(dt_item);

การเขียนโดยใช้ DataSet หรือ DataTable นั้นจะ Return กลับมาอยู่ในรูปแบบของ Table อิสระที่มี Row และ Column เป็น อิสระ การเรียกใช้นั้นมีหลายรูปแบบ เช่น
Datagrid1.DataSource= dt;
string str_pid= dt.Rows[0]["Pd_id"].ToString();
เป็นต้น
จากรูปแบบข้างต้นจะสังเกตว่า DataTable นั้นจะมีคีย์สองตัวัน่นคือ Row และ Column ซึ่ง Column นั้นถ้าจะให้แม่นจำเป็นจะต้องใช้ในรูปแบบของ String Key ซึ่งนี่เองที่เป็นหนึ่งในจุดอ่อนและจุดยุุ่งยากทำให้โปรแกรมเมอร์ .net มักจะผิดพลาดกันได้เยอะมาก และยิ่งเป็น Case Sensitive ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่
แต่ว่าจุดอ่อนนี้ได้ถูกแก้ไข แล้วด้วย LINQ นั่นเอง
Linq เป็น ภาษารูปแบบหนึ่งที่ ไมโครซอฟท์สร้างขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับโปรแกรมเมอร์ทุกคน สามารถ Implement ติดต่อ Query ได้ง่ายขึ้น ทำให้แยกส่วน ระหว่าง Syntax ของการ Query กับ Object ลงอย่างสิ้นเชิง
ตัวอย่าง เช่น
SQL Query = "SELECT * FROM products";

LINQ =(from c in db.products).ToList();//

ตัวอย่างข้างต้นคือรูปแบบการ Select * from [tables] ที่แตกต่างจากรูปแบบทั่วไป โดย LINQ จะอยู่ในรูปแบบของ Object<IQueryable> ที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างง่ายดายตัวอย่างการเขียนแบบ เต็มของ LINQ
using (var c = new Models())
            {
                var items= c.tb_products.ToList();
            }
 (ต้องมีการ using System.Linq; ด้วย)
การใช้ .ToList() จะทำให้ผลล้ัพธ์ที่ได้อยู่ในรูปแบบของ List<T>(); T= Object ต่างๆ เช่น Product เป็นต้น
การใช้ Linq ผลลัพธ์นั้นจะออกมาในรูปแบบของ List ที่เป็น Object ข้อดีนั้นคือความง่ายของการเป็น Object จะลดความผิดพลาดของการผิด Syntax ลง เช่น  var pd = product[0].pd_id; เป็นต้น
การเขียนนั้นพออยู่ในรูปแบบของ object ทำให้การอ้างอิงถึง Field หรือ Property ทำได้ง่ายขึ้น ลดความผิดพลาดของการอ้างอิงลง และทำให้การพัฒนามีความเร็วมากขึ้น

การเขียนรูปแบบสองอย่างระหว่าง DataTable และ Linq นั้นมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ขอแสดงให้ดูดังนี้
ข้อเสียของ Linq to sql
1) หากไม่เคยเรียนรู้มา ต้องนั่งเรียนรู้ใหม่
2) การทำบางฟังก์ชั่น เช่น groupby มีความยุ่งยาก ในการเขียน
3) การ join สามารถทำได้ทั้ง left,right และ inner join แต่ทว่า syntax อาจจะทำให้ปวดหัวกันไปเลยเดียว ฉะนั้น หากใช้ควรเลี่ยงด้วยการไปทำเป็น Store หรือ View ในส่วนของ query แล้วดึงมาจะสะดวกและเร็วกว่าการนั่งเขียนพวกนี้เอง
4) มีความเร็วช้ากว่า DataTable  เพราะจำเป็นจะต้องแปลง Syntax เป็น SQL อีกที จึงจะ Query แล้วจึง Return มา ก็ต้องแปลงให้อยู่ในรูปแบบของ Object อีกครั้ง
5) ไม่ยืดหยุ่นเท่ากับ DataTable ข้อนี้  เป็นจุดเสียที่ เรียกว่า อยู่ในข้อดีเลยทีเดียวเพราะจุดเสียคือไม่ Dynamic เท่าไร ทำให้การเขียนต้องใช้ OpenSource นอกอย่าง AutoMapper เพื่อให้ทำงายง่ายหรือพัฒนาขึ้นมาเอง สำหรับการ Mapping Field

ข้อดีของ Linq to sql
1) หากเป็นแล้วทำให้การพัฒนาเร็วกกว่าการเขียนกับ Datatable
2) Syntax ของ Entity Framework มาจาก Microsoft ที่ใครที่เป็นก็สามารถต่อยอดและไล่ได้ง่าย
3) การทำ CRUD และ การใช้ StoreProcedure ง่าย
4) มีการ Provide Transaction ไว้ให้
5) เช็ค null, empty ได้ง่ายกว่า DataTable
6) สามารถ where หา ข้อมูลใน List ผลลัพธ์ได้ง่ายเพียงใช้ Syntax ของ Linq เช่น c.where(c=>c.id==1).FirstOrDefault(); แค่นี้ก็ได้มาแถวนึงแล้ว
7) Tool อ้างอิง EntityFramework ทำให้การจัดการแยกชัดเจนระหว่าง Database และ Code จึงง่ายต้องการ Management ระหวว่าง code กับ Databaseเช่น มีการเพิ่มคอลัมภ์ ใหม่เข้าไป หรือเปลี่ยนแปลง ชื่อฟิลด์ หากเป็น SQL Syntax จะปล่อยให้ผ่านไปเลยแต่หากเป็น EntityFramework จะ Error ฟ้องขึ้นมาทำให้ง่ายต่อการแก้ไข และจัดการ

ทีนี้มาถึง DataTable นะครับ
ข้อดี
1) ยืดหยุ่นสูง
2) ไม่ต้องใช้ Tools มากมาย ส่วนใหญ่จะมีคลาสกลางเป็น Connection และ Unity สำหรับจัดการก็เพียงพอแล้ว
3) มีความเร็วมากกว่า Linq

ข้อเสีย
1) Syntax เป็น String และ Case sensitive  ด้วยการที่ เป้น string ทำให้เวลาผิดพลาดเราก็ไม่รู้ต้องรอจนรันไปถึงจึงจะ Error ให้เห็น
2) มีปัญหากับ Null ในการเช็ค
3) String จำนวนหลายแห่งอาจจะทำให้การพิมพ์ตกหรือหล่นได้

คำสั่งพื้นฐานของ Linq to sql
Table : tb_items
SELECT * FROM tb_items : (from c in db.tb_items).ToList();
SELECT * FROM tb_items where pd_id=1 : (from c in db.tb_items where c.pd_id==1).ToList();
SELECT TOP 1 From tb_item :  (from c in db_items).FirstOrDefault();
SELECT TOP 10 From tb_item : (from c in db_items).Take(10).ToList();
SELECT Distinct * From tb_item : (from c in db_items).Distinct().ToList();
SELECT pd_id,pd_name FROM tb_item : (from c in db_items select c.pd_id,c.pd_name).ToList();


วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ฐานข้อมูล SQL Server 2012

ฐานข้อมูลคือแหล่งเก็บข้อมูลที่สำคัญของระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เว็บ ,แอพ หรือ Server ก็ต้องมีการเก็บบันทึกฐานข้อมูลทั้งสิ้น ในฐานข้อมูลที่ผมเคยใช้มานั้นมีไม่มาก แต่ว่าผมชื่นชอบสุดคือ SQL Server  ผมเริ่มใช้ตั้งแต่ Version 2000 จนปัจจุบันล่าสุด 2012 แล้วแต่โดยรวมนั้นผมยังหาจุดแตกต่างไม่ได้แต่วันนี้ผม ได้ค้นหาและพบถึงฟีเจอร์ พื้นฐานสำหรับ SQL Server 2012 มาให้ดูกันครับ
(อ้างอิงจาก : http://bellnaka2519.wordpress.com/2012/11/19/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87-sql-server-2012-database/)
พื้นฐานและโครงส้ราง SQL Server 2012 Database คำสั่งและการใช้งาน
สิทธิ์การใช้งานที่ง่าย
SQL Server 2012 จะมีสองตัวเลือก คือที่อยู่บนพื้นฐานของ computing power และที่อยู่บนพื้นฐานของผู้ใช้หรืออุปกรณ์ (users หรือ devices) (ดูตารางด้านล่างสำหรับการเปรียบเทียบทางเลือกของ new licensing ต่อ edition)
ความยืดหยุ่นและนวัตกรรม
Cloud-optimized licensing ให้สิทธิ์ single Virtual Machine (VM) หรือให้สิทธิ์เซิร์ฟเวอร์สำหรับ virtualization อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับความยืดหยุ่นในการย้าย VMs ของคุณจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ หรือไปยัง hosters หรือไปยัง cloud
Industry-leading TCO
SQL Server 2012 จะมีคุณสมบัติและความสามารถจำแนกเป็นสามรุ่นหลัก โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับในการใช้งานใน Mission Critical และ Business Intelligence applications
SQL Server 2012 Editions
สามรุ่นหลักที่มี คือ Enterprise, Business Intelligence, และ Standard
• Enterprise สำหรับ mission critical applications และ data warehousing
• Business Intelligence (ใหม่) สำหรับขององค์กรระดับพรีเมี่ยม และความสามารถใน self-service Business Intelligence
• Standard สำหรับข้อมูลพื้นฐาน (basic database), การรายงาน, และการวิเคราะห์
Business Intelligence Edition จะรวมความสามารถทั้งหมดของ Standard Edition และ Enterprise จะรวมทั้งหมดของความสามารถทั้งหมดของ Business Intelligence Edition
ด้วยการเปิดตัวของ SQL Server 2012, สาม Editions ต่อไปนี้จะสิ้นสุดลง:
• Datacenter – คุณลักษณะของรุ่นนี้จะสามารถใช้ได้ใน Enterprise Edition
• Workgroup – สำหรับข้อมูลพื้นฐาน (basic database) จะไปอยู่ในรุ่น Standard
• Standard for Small Business – สำหรับข้อมูลพื้นฐาน (basic database) จะไปอยู่ในรุ่น Standard รุ่นเดียว
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ SQL Server 2012
             เราจะนำเสนอทางเลือกของ SQL Server 2012 ดังต่อไปนี้:
• Core-based Licensing สำหรับ Enterprise
• Server + CAL licensing สำหรับ Business Intelligence
• Choice of core-based licensing or Server + CAL licensing สำหรับ Standard
 ตารางด้านล่างแสดงการเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างสามรุ่นหลัก.
SQL SERVER 2012 CAPABILITIES​
Enterprise​
Business Intelligence​
Standard
Maximum Number of Cores​
OS Max*​
16 Cores-DB OS Max-BI​
16 Cores ​
Basic OLTP​
x​
x​
x​
Programmability (T-SQL, Spatial Support, FileTable)​
x​
x​
x​
Manageability (SQL Server Management Studio, Policy-based Management) ​
x​
x​
x​
Corporate Business Intelligence (Reporting, Analytics, Alerting, Multidimensional BI Semantic Model)​
x​
x​
x​
Enterprise data management (Data Quality Services, Master Data Services)​
x​
x​
Self-Service Business Intelligence (Power View, PowerPivot for SPS)​
x​
x​
In-Memory Tabular BI Semantic Mode​
x​
x​
Advanced Security (Advanced auditing, transparent data encryption)​
x​
Data Warehousing (ColumnStore, compression, partitioning)​
x​
High availability (AlwaysOn)​
Advanced
Basic**​
​Basic**


จุดเด่นของ SQL Server 2012
SQL Server 2012 มอบความมั่นใจในภารกิจสำคัญทางธุรกิจ (Mission-Critical) ด้วยความพร้อมในการให้บริการ uptime ที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพการทำงานที่รวดเร็ว ตลอดจนความปลอดภัยที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อรองรับ workload ที่สำคัญของธุรกิจ นอกจากนี้ยังมอบความสามารถในการเข้าใจข้อมูลเชิงลึก (insight) ที่ตรงจุดและการค้นหาข้อมูลที่ผู้ใช้จัดการได้ด้วยตนเอง รวมทั้งความสามารถในการนำเสนอข้อมูลด้วยภาพที่ทำงานแบบ interactive และคุณยังสามารถสร้าง cloud ในแบบของคุณเองได้ด้วยการสร้างและขยายโซลูชั่นได้ทั้งบนเซิร์ฟเวอร์จริงในองค์กรและบน Public Cloud ได้อย่างสะดวก SQL Server มีวางจำหน่ายใน 3 edition ดังต่อไปนี้
Enterprise
Enterprise สำหรับการทำงานกับภารกิจสำคัญทางธุรกิจที่เป็น Mission Critical และการสร้างคลังข้อมูล (Data Warehouse)
·        ความพร้อมให้บริการอย่างต่อเนื่องที่ก้าวหน้าขึ้นในระดับสูงด้วย AlwaysOn
·        การทำ Data Warehousing ประสิทธิภาพสูงด้วย ColumnStore
·        การทำ virtualization ได้สูงสุดเท่าที่ต้องการ (ด้วย Software Assurance)
·        รวมความสามารถด้าน BI ทั้งหมดที่มีอยู่ใน Business Intelligence Edition
Business Intelligence
Business Intelligence Edition เหมาะสำหรับการสร้าง BI สำหรับองค์กรขนาดใหญ่และสามารถจัดการได้เองโดยผู้ใช้งาน
·        การค้นหาข้อมูลที่รวดเร็วด้วย Power View บน Internet Explorer และ PowerPoint
·        การจัดทำรายงานและการวิเคราะห์ที่เหมาะกับลูกค้าองค์กรและสามารถขยายระบบได้
·        ความสามารถในการทำ Data Quality Services และ Master Data Services
·        รวมความสามารถทั้งหมดของ Standard Edition
Standard
Standard Edition ยังคงมอบความสามารถด้านการจัดการฐานข้อมูล การสร้างรายงาน และการวิเคราะห์ผลขั้นพื้นฐาน
ความสามารถของ SQL Server 2012
ตารางต่อไปนี้นำเสนอความสามารถที่แตกต่างกันในแต่ละ edition ของ SQL Server 2012 หากต้องการดูคุณสมบัติทั้งหมดเพื่อเปรียบเทียบ SQL Server 2012 โปรดศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ SQL Server Books Online
ความสามารถ
Enterprise
Business
Intelligence
Standard
จำนวน core สูงสุด
มากเท่าที่ OS มี¹
16 core สำหรับฐานข้อมูล
มากเท่าที่ OS มี -AS&RS²
16 Cores
OLTP พื้นฐาน
checked
checked
checked
เครื่องมือสำหรับเขียนโปรแกรมและพัฒนาซอฟต์แวร์ (T-SQL, CLR, Data Types, FileTable)
checked
checked
checked
ความสามารถในการบริหารจัดการ (Management Studio, Policy-based Management)
checked
checked
checked
ความพร้อมให้บริการแบบต่อเนื่อง (High Availability) ขั้นพื้นฐาน³
checked
checked
checked
Business Intelligence สำหรับองค์กรขั้นพื้นฐาน (Reporting, Analytics, Multidimensional Semantic Model, Data Mining)
checked
checked
checked
การทำ data integration ขั้นพื้นฐาน (Built-in Data Connectors, Designer Transforms)
checked
checked
checked
Self-Service Business Intelligence (Alerting, Power View สำหรับ IE และ PowerPoint, PowerPivot สำหรับ Excel และ SharePoint Server)
checked
checked

Business Intelligence สำหรับองค์กรขั้นสูง (Tabular BI Semantic Model, Advanced Analytics and Reporting, VertiPaq™ In-Memory Engine, Advanced Data Mining)
checked
checked

การจัดการข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise Data Management) (Data Quality Services, Master Data Services)
checked
checked

การทำ data integration ขั้นสูง (Fuzzy Grouping and Lookup, Change Data Capture)
checked


ความปลอดภัยขึ้นสูง (SQL Server Audit, Transparent Data Encryption)
checked


การสร้างคลังข้อมูล (ColumnStore Index, Compression, Partitioning)
checked


ความพร้อมให้บริการแบบต่อเนื่อง (High Availability) ขั้นสูง (Multiple, Active Secondaries; Multi-site, Geo-Clustering)³
checked



สิทธิ์การใช้งานของ SQL Server Enterprise ที่มีอยู่เดิมในแบบของ Server + CAL แล้วถูกอัพเกรดไปเป็น SQL Server 2012 จะจำกัดการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ไว้ที่ ไม่เกิน 20 core โปรดศึกษาจากเอกสารข้อมูลผลิตภัณฑ์และ FAQ
2 Analysis Services และ Reporting Services
ขั้นพื้นฐานได้แก่ การทำ log shipping, database mirroring, การสนับสนุน server core และการทำ Failover Clustering บน 2 node และจำเป็นต้องมี Windows Server Enterprise edition หรือสูงกว่าหากต้องการใช้งาน AlwaysOn และ Failover Clustering
4  จำเป็นต้องมี SharePoint Server พร้อม Enterprise CAL ในการใช้งาน Power View และ PowerPivot สำหรับ Excel และ SharePoint การตั้งเตือนจะสามารถเข้าถึงได้ผ่านทาง SharePoint Foundation หรือสูงกว่า
เหตุผลที่ควรเลือก SQL Server
Microsoft SQL Server คือแพล็ตฟอร์มข้อมูลสารสนเทศและเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลแบบครบวงจรที่มอบเทคโนโลยีที่พร้อมสำหรับองค์กรขนาดใหญ่และเครื่องมือที่ช่วยให้บุคลากรได้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอย่างเต็มที่โดยมีต้นทุนสำหรับเจ้าของ (Total Cost of Ownership) ที่ต่ำที่สุด ผู้ใช้จะได้รับประสิทธิภาพการทำงาน ความพร้อมในการให้บริการ และระบบความปลอดภัยที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องมือในการจัดการและการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมอบข้อมูลเชิงลึกที่ใช้งานได้เต็มที่ผ่าน BI ที่ผู้ใช้จัดการได้ด้วยตนเอง
Microsoft SQL Server เป็นแพล็ตฟอร์มที่สมบูรณ์และทำงานร่วมกับฐานข้อมูลอื่นได้สร้างคุณค่าจากทักษะและทรัพยากรของไอทีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มประสิทธิผลการทำงานและความคล่องตัวของแผนกไอที และสร้างแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่ทำงานอย่างยืดหยุ่นได้อย่างรวดเร็ว
10 เหตุผลที่ควรเลือก SQL Server
1    SQL Server 2012 ทำให้เกิด ROI สูงถึง 189% ภายในระยะเวลาคืนทุนเพียง 1 ปี (Payback Period)
ที่มา: Total Economic Impact (TEI) ของการอัพเกรด SQL Server 2012 ศึกษาโดย Forrester Consulting ในนามของ Microsoft (มีนาคม 2012)
2  ผู้ดูแลฐานข้อมูล (DBA) ที่ใช้ไมโครซอฟท์สามารถรันฐานข้อมูลที่สำคัญต่อภารกิจ (ระดับ mission critical) ได้มากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ดูแลฐานข้อมูลที่ใช้ Oracle
ที่มา: Microsoft SQL Server and Oracle Database: A Comparative Study on Total Cost of Administration (TCA)
3  SQL Server มี uptime ที่พร้อมให้บริการในระดับ 9s ถึง 6 ตัว(99.9999%)
ที่มา: Microsoft Case Study: Stratus Technologies
4  SQL Server คือแพล็ตฟอร์มฐานข้อมูลที่มีระบบความปลอดภัยสูงสุดกว่ารายอื่น
ที่มา: ITIC: SQL Server Delivers Industry-Leading Security, กันยายน 2010
5  ผู้นำเรื่อง TCP-E Performance Benchmark ที่มีคู่แข่งน้อยรายในตลาด
ที่มา: TPC-E Top Ten Performance Results
6  SQL Server ช่วยประหยัดค่าดูแลฐานฐานข้อมูลถึง 460% ต่อฐานข้อมูล เมื่อเทียบกับ Oracle
ที่มา: Microsoft SQL Server and Oracle Database: A Comparative Study on Total Cost of Administration (TCA)
ไมโครซอฟท์เติบโต 23.6% ในตลาด Business Intelligence คิดจากยอดรายได้ในปี 2010
ที่มา: Gartner, Market Share: All Software Markets, Worldwide, 2010, 30 มีนาคม 2011
8  SQL Server มียอดจำหน่ายสิทธิ์การใช้งาน RDBMS แซงหน้า IBM DB2 จนได้เป็นหมายเลข 2 ในปี 2009
ที่มา: IDC WW RDBMS 2009 Vendor Analysis: Top 10 Vendor License Revenue by Operating environment, สิงหาคม 2010
9  PowerPivot ได้รับเสียงโหวตจาก eWeek ว่าเป็นหนึ่งใน Top 10 Technology ในปี 2010
ที่มา: eWeek 2010 Products of the Year: Messaging and Collaboration
10  SQL Server ลดเวลา downtime ลงได้ถึง 20% โดยการย้ายระบบ SAP ERP ไปรันบน SQL Server
ทางเลือกในการใช้งานฐานข้อมูล
ผลการประเมินความสามารถของ SQL Server 2012 ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
SQL Server คือฐานข้อมูลที่บริษัทฮาร์ดแวร์ต่างให้ความไว้วางใจ
 ผลลัพธ์จากการวัด TPC มากกว่า 30 TPCs กับคู่ค้าด้านฮาร์ดแวร์จำนวน 6 รายที่ใช้ตัวชี้วัด 3 ตัวของ TPC
 เป็นผู้นำในหมวด new energy metric ของ TPC ที่มีคู่แข่งน้อยรายและยังคงได้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจอย่างต่อเนื่อง
 ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจจากแอพพลิเคชั่นในโลกของการใช้งานจริง
SQL Server 2012 สนับสนุนแอพพลิเคชั่นที่สำคัญต่อภารกิจ (Mission-critical)
เมื่อดูที่แอพพลิเคชั่นที่ใช้งานจริง พบว่ามีผลลัพธ์ประสิทธิภาพการทำงานที่น่าตื่นใจ
 การขยายระบบได้ถึง 95% กับ Temenos T24
 ขยายเพื่อรองรับผู้รับผู้สมัครสมาชิกถึง 50 ล้านรายด้วย RedKnee TCB
 รองรับจำนวนผู้ใช้ที่เข้าใช้งานพร้อมกันได้เท่าตัวถึง 10,000 รายด้วยประสิทธิภาพการทำงานอันยอดเยี่ยมกับ Siemens PLM
คะแนนสูงสุดในเรื่องการสนับสนุนการตัดสินใจ
SQL Server ได้รับคะแนนสูงสุดในหลายหมวดของ TPC-H
ผลการประเมินความสามารถของ SQL Server 2012 ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
 300 GB: อันดับ 2 ในเรื่อง price performance ในกลุ่ม nonclustered
 1 TB: อันดับ 2 ในเรื่อง price performance ในกลุ่ม nonclustered
 3 TB: อันดับ 1 ในเรื่อง performance ในกลุ่ม nonclustered
 10 TB: อันดับ 1 ในเรื่อง price performance สำหรับ nonclustered

CREDIT : http://bellnaka2519.wordpress.com/2012/11/19/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87-sql-server-2012-database/

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คนไอที ทำไมมันคุยไม่รู้เรื่อง?(1)

เคยสังเกตกันไหม ถ้ามีเพื่อนเป็นคนสายไอทีละก็ ยิ่งเป็นพวกโปรแกรมเมอร์แล้ว มันมักจะคุยกันไม่รู้เรื่องไม่รู้มันคุยอะไรกัน? ผมว่าหลายๆคนต้องเจอนะครับ ผมเองก็เป็นคนนึงที่เจอ เพื่อนๆรอบตัวผม มักจะบ่นผมเสมอ IT คุยเรื่องไรเนี่ยพูดไรเนี่ย พูดให้เป็นภาษาคนหน่อยได้ไหม? เจอคำนี้ไปจุกครับ แต่เคยคิดไหมว่า ทำไมเราคุยไม่รู้เรื่อง? เคยคิดไหม
ผมได้วิเคราะห์หาสาเหตุมาที่พบคือดังนี้ครับ
1) สาย Dev มักจะหมกมุ่นกับ คอมมากเกินไป เรียกว่า ชีวิตอยู่กับคอมตลอด ทำให้พูดน้อย พอเวลาพูดทีก็ตะกุกตะกัก และพูดไม่รู้เรื่อง จริงๆคือ เขาเข้าใจนะในสิ่งที่พูด แต่ว่า การจะสื่อมันยาก เพราะพูดน้อยไปหน่อย
2) คน IT มักมองเรื่องรอบๆตัวที่ไม่ใช่คอม หรือเกม เป็นเรื่องไร้สาระทำให้เวลาคุยกับคนรอบตัว มันไม่สนุกและไม่อยากคุยด้วย ทำให้ยิ่งพูดน้อยลงอีก
3) Dev = Developer คือการพัฒนาตนเองเสมอ ข้อนี้ที่คนสาย DEv หรือ IT มักจะติดกันมาโดยไม่รู้ตัว มักจะคิดถึงอนาคต หรือหาอะไรใหม่ๆ มาใส่กับตัวเองเสมอ จนทำให้คนรอบข้างมองว่า เป็นพวกบ้าเห่อ หรือ เป็นพวกน่าหมั้นไส้ ซึ่งจริงๆแล้วมันเกิดจากตัวเขาเองทำไปแบบซื่อๆ ตามนิสัยเพราะ ต้องพัฒนาตนเองตามนิสัยนั่นเอง
4) คนไอที คิดไกลกว่าชาวบ้านและจริงจังเกินไป คือมันเกิดจากนิสัยที่ตรรกะพื้นฐานของคนสายนี้ที่ คำตอบมี แต่ Y : N มันทำให้คนรอบข้างมองว่า เอ่อจริงๆ มันไม่ใช่นะ
5) ชอบทำตัวโดดเด่น เกินกว่าคนอื่น ข้อนี้จริงๆแล้ว ไม่ใช่นะครับคือ คนไอที มักจะชอบเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ใหม่เสมอ และก็ชอบใช้ก่่อนหรือ สอนคนอื่นใช้ในสรรพคุณต่างๆ ของGadget หรือของใหม่ๆ ซึ่ง มันเป็นนิสัยพื้นฐานของสายนี้ที่ต้องค้นหาและไขว้คว้า

สิ่งที่ผมกล่าวนี้คือปัจจัยที่ผมพบว่า คนสายไอทีทำไมถึงถูกมองเป็นตัวประหลาดไป แต่จริงๆ ของพวกนี้ปรับตัวได้ครับ แค่คนไอทีหันมา ปฏิบัติ
1) ใส่ใจอยู่กับคนรอบข้างและพูดมากขึ้น
2) ดูตลกบ้างจำมุขมาเล่นกันบ้าง
3)  ลดการแสดงออกลงสักหน่อยหันมา มองคนอื่นใช้กันมากขึ้น
4) แสดงความสามารถในเวลาที่ควรแสดงเช่น แสดงในที่ทำงาน แต่ว่านอกเวลางานก็ไม่ต้องแสดงเป็นต้น
5)  คุยกันผ่านโทรศัพท์หรือเจอหน้ากันสังสรรค์ โดยฟังมากขึ้นหน่อยก็จะทำให้ดีขึ้น

สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมแนะนำนะครับ เดี๋ยวต่อไปจะพูดเกี่ยวกับวิธีการพูดให้มากขึ้นครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทิศทางแท๊บเล็ต 2014-2015(2) - ลมเปลี่ยนทิศ การดิ้นรน

หลังจากที่ผม เคยบอกว่าทิศทางแท๊บเล็ตปี 2014-2015 จะมีทิศทางของการทำงานเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นนั่นคือ แท๊บเล็ตขนาดใหญ่ กว่า 10 นิ้ว ทีจะมีเข้ามีบทบาทในการทำงานออฟฟิตมาขึ้น แต่ทีนี้มันยังไม่จบแค่นั้น เมื่อไตรมาสที่ 2-3 ปี 2014 เริ่มมีสัญญาณของ ลมที่โหมเข้ามาใหม่ ตั้งแต่ ราชาแท๊บเล็ตอย่าง iPad ที่ Apple เริ่มผ่าทางตันด้วยการ ล่อภาษาใหม่จัดการกับ Segment ตัวเองใหม่ และ Windows ที่เริ่มใส่ใจกับการตลาดมากขึ้นหันมา เอาใจใส่กับ Windows ฟรี ทำให้แท๊บเล็ตวินโดวส์ราคาถูกออกมามากขึ้น การโหมกระหน่ำของลมนี้แม้จะยังไม่กระทบกับ android มากนัก เพราะต้องเรียกว่าราคาแห่ง Smart Device ปัจจุบันอย่าง Android นั้นพัฒนาไปมาก สำหัรบผู้ใช้งานทั่วไปในความบันเทิงความสะดวกสบาย มันใกล้จุดที่จะเรียกว่าสุดๆของ Tablet,SmartPhone แล้วทำให้ การเปลี่ยนแปลงเวอร์ชั่นใหม่ต้องใช้สมองคิดอย่างมากแต่กลับอีกสองจ้าวกำลังไล่ตามอยู่ จึงมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

ผมจะบอกว่าท้ายปี 2014-2015 เราอาจจะได้เห็นรูปแบบใหม่ของ Tablet มากขึ้น โดยสิ่งที่จะเห็นคือ นวัตกรรมด้านพลัง อย่าง Apple ที่พัฒนาโดยตลอดไม่หยุดยั้งกับความแรงของ Tablet ซึ่งปกติ iOS ที่ม่จุดเด่นด้านความเสถียรของ OS สุดยอด และกินสเปกพอประมาณ คราวนี้อัพสเปกไปในระดับสุดๆอีก กับ 4 Core และ หน้าจอแบบสุดยอดละเอียด(อาจจะนะ) เพื่อกรุยทางสู่การเชื่อมต่อ 3 Device อย่างสมบูรณ์นั่นคือ Mac,iPhone,iPad และ iCloud ก่อให้เกิดการใช้งานอย่างไม่สะดุดเชื่อมต่อทุกเวลาและอัตโนมัติ จุดนี้ Apple มีโอกาสทำได้มากสุดเพราะ ทุกอย่างเริ่มจากตัวเองและจบที่ตัวเอง ไม่พึ่งพันธมิตรมากนัก และ Windows คู่แข่งที่พยายามถีบตัวเองเพื่อกินส่วนแบ่งของ Tablet บ้าง ตอนนี้ Windows คงยังหาจุดเด่นของตัวเองไม่เจอ ก็ได้แต่ส่งแนวทางการตลาดต่อไปเพื่อหาจุดที่ลูกค้าต้องการจาก Windows จริงๆ ช่ว่งปีหน้าอาจจะเห็น Tablet Windows ราคาถูกมากมาย ไม่ต้องแปลกใจพวกนี้ยังหาจุดเด่นไม่ได้ ต้องการอย่างเดียวเพื่อเจาะตลาดก่อนว่าทิศทางที่ต้องการจริงๆจะเป็นแนวไหน ซึ่งแนวทางที่ดีของ Windows นั้น คือแนวทางเดียวกับ Apple แต่ว่า อุปสรรคมันมากกว่าตรงนี้เขาเป็นระบบกึ่งเปิดกึ่งปิด ทำให้การรวมทุกอย่างมันยากกว่า จริงๆ จุดแข็งของ Windows ถ้าจะทำให้ดี ควรจะมองว่าผู้บริโภคมอง Windows คือทุกอย่าง ที่คอมพิวเตอร์ทำได้ แต่เขาไม่ทับใจตรงที่มันทำไม่ได้อย่างที่ใจเขาคิด การใช้งานที่ยุ่งยากและเรียนรู้ใหม่ทำให้การประทับใจ Windows ตกลง ทั้งที่ควรจะทำได้ ถ้า Windows ลดจุดการเรียนรู้ข้อง Windows ลงและเพิ่มจุดขายเล็กๆ ตรงที่ เชื่อมต่อให้หมดก่อนระหว่าง Android,Windows,iOS โดยสร้างเป็น Windows Desktop Link เชื่อมหมดเป็น App นึงแต่ใส่จุดขายที่ Windows จะทำงานได้มากกว่า แต่พวกนั้นก็ไม่น้อยกว่าจะทำให้ Windows กลับมาน่าสนใจอีกครั้งนึง แต่แน่นอนว่ามันคือแนวคิดผมเท่านั้น ก็ว่ากันต่อไป

ของ Android นั้น ทิศทางของ Google เปลี่ยนไปแล้ว Google ได้ขยายโอกาสให้ตัวเองมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมทั่วโลกอย่างแท้จริง โดยขยายทั้งบริการทางอินเตอร์เน็ตและขยายสู่ อุปกรณ์ชนิดอื่นโดยเน้นอยางแรกที่ รถยนต์ก่อน ทิศทางของปี 2014-2015 จึงไม่หวือหวาแต่ปี 2016 อาจจะได้เห็นอุปกรณ์ Android ในสิ่งที่อัศจรรย์เลยทีเดียว

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรือธง FlagShip สิ่งสำคัญของธุรกิจในยุค Mobile

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "เรือธง (Flagship)" กันมาบ้างแล้ว  เรือธงถ้าเปรียบเทียบกับกองทัพคือทัพหน้า ที่สำหรับเชิดชูกองทัพนั่นเอง แล้วความสำคัญของเรือธงคืออะไร ต้องย้อนกลับไปคุยเกี่ยวกับการวางหมากสงครามเล็กน้อย ในการสงครามนั้น ทัพหน้าคือสิ่งสำคัญมาก ถ้าใครเคยดูสามก๊กจะรู้ดีว่า ถ้าทัพหน้าสามารถมีชัยได้จะทำให้ทัพหลังสบายไปเลย เรียกได้วว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง แน่นอนยุคนี้ทัพหน้าของบริษัทต่างๆ ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการรบอีกแล้ว แต่มันคือ บริการหรือสินค้า ที่เชิดหน้าชูตาหรือเปิดตัวของบริษัท ซึ่งเรือธงนี้สำคัญขนาดไหน ขออธิบายให้ฟังเป้นข้อๆนะครับ
1) เปิดตัวดี มีชัย แน่นอนเรือธงที่ดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งเลย ยกตัวอย่างเช่น Apple ที่มีเรือธงคือ iPod และ iPhone ยุคตอนเปิดตัว iPHone และ iPod เป็นเรือธงสามารถทำให้ Apple พลิกสถานการณ์บริษัทได้เลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าการเปิดตัวเรือธงที่ดีทำให้การทำงานต่อมาง่ายขึ้นและสามารถพลิกสถานการณ์ของบริษัทได้
2) เรือธง คือที่จดจำของสื่อและผู้รับข่าวสาร มีหลายบริษัทที่เปิดเรือธงไม่ดี ทำให้ต้องมีการเปิดใหม่ๆเรื่อยๆ แต่ว่าผู้รับข่าวสารนั้นเริ่มเบื่อแล้วและละทิ้งสินค้าหรือบริการคุณไปทันที เช่น skyDrive ที่เปิดตัวเรือธงด้าน Cloud ของไมโครซอฟท์แต่ทว่า ทำยังไงก็จุดไม่ติดซะทีเพราะเรือธงของคุณมันมีปัญหา แต่แก้ไม่ถูกจุด และผู้บริโภคได้รับไปแล้วว่าา มันไม่ดีพอนั่นเอง

อย่างที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรือธงไปแล้ว ทีนี้จะถามว่าคุณควรแก้ปัญหายังไงดีกับการเปิดตัวเรือธง กลยุทธ์เรือธงนั่นมีมานานแล้ว แต่หลายคนละเลยที่จะใส่ใจกับมัน หลายธุรกิจที่เปิดตัวมาแต่ขาดจุดยืนหรือเรือธงของบริษัทที่ดึงดูดลูกค้าทำให้ความสนใจลดหายไป และบางทีก็ไม่โตไปเท่าที่ควรนั่นเพราะเราไม่เป็นที่จดจำของลูกค้านั่นเอง ปัญหานี้ไม่ใช่เกิดและจะแก้กันง่ายๆ การแก้เรือธงที่เสียไปหลายบริษัททมีทางแก้คือ
1) เปิดตัวเรือธงใหม่เลย แน่นอน เมื่อทัพหน้าเก่ามันใช้ไม่ได้ก็ต้องส่งทัพหน้าไปใหม่ แต่ทว่าการส่งไปบ่อยๆก็ทำให้ผู้บริโภค เบื่อหน่ายได้ฉะนั้นการใช้วิธีนี้ควรจะ คิดให้ดี อย่าส่งบ่อยแล้วหล่นบ่อยจะทำให้คนเบื่อหน่ายได้
2) ดันเรือธงเสริมทัพ หมายถึง การปรับปรุงทัพหน้าที่ไม่ดี ให้ได้ตามที่ต้องการ ตัวอย่างที่ใช้เช่นนี้ก็คือ Apple iCloud ที่ตอนแรกเปิดตัวมาใช้ไม่ได้มากนัก แต่ก็พยายามปรับปรุงเรือธงด้านคลาวด์ตัวนี้ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีตามมา วิธีนี้ ควรมีข้อระวังให้ดีนั่นคือหากปรับแล้ว ผลตอบรับต่ำลงนั่นหมายถึงดาบสองคมทันที
3) เหล้าเก่าในขวดใหม่ คือการใช้บริการตัวเดิมนั่นแหละแต่มันไม่เกิด จะดันไปเรือ่ยๆก็ยังไงอยู่ เปลี่ยนชื่อมันซะเลย ตัวอย่างที่เช่นนี้ ก็คือ skydrive,Onedrive,MSN ของไมโครซอฟท์ที่พยายามเปลี่ยนให้มันจำง่ายเพิ่มประสิทธิภาพ แต่บริการเดิมๆ การทำเช่นนี้เพื่อให้ผู้บริโภคสลัดภาพเดิมๆที่เคยเสียไป แต่ว่าบริษัทที่ทำเช่นนี้แล้วประสบความสำเร็จก็ยังไม่เห็นมากนักในวงการ IT เพราะส่วนใหญ่จะเปิดตัวเรือธงใหม่เสียจะดีกว่า

3 วิธีทางข้างต้นคือตัวอย่างบริษัท ที่มีเรือธงท่ี่ชัดเจนมาก และพยายามดันเรือธงนั้นให้ประสบความสำเร็จ  แน่นอนว่าบริษัทข้างต้นเป้นบริษัทใหญ่ไกลตัวเราไปมาก ทำให้มองไม่เห็นเลยว่าจะประยุกต์กับบ้านเรายังไง? คำตอบคืออย่ามองเห็นแค่นั้นสิครับ วิเคราะห์ว่าเรือธงคืออะไร? ตีความให้ดีนะครับ เรือธงคือจุดแข็งในผลิตภัณฑ์ของเรา ผลิตภัณฑ์และบริการของเราทุกคนต้องหาจุดแข็งของเราให้เจอที่สามารถเชิดชูและประกาศออกมาได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวมันไก่ประตูน้ำ ของทั่วไปเลยคือ เนื้อไก่ที่อร่อยและนุ้มลิ้นที่สุด นับเป็นเรือธงที่ดีที่ทำให้ข้าวมันไก่ประตูน้ำเป็นที่รู้จักหรือ Software Express บัญชีที่มีเรือธงคือรุ่น Dos,Windows ที่สามารถทำให้เรื่องบัญชีเป็นเรื่องไม่ไกลตัวเกินไป เป็นต้น
เรือธงสามารถเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญก่อนจะเกิดเรือธงคือ "วิสัยทัศน์" คำๆนี้จะทำให้เกิดเรือธงขึ้นผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล วางแผนอย่างรอบคอบและแก้ปัญหาให้เป็น ปัจจุบัน sme บ้านเรามักจะเกิดปัญหาคือวิสัยทัศน์ไม่มี ไม่กล้าลงทุน และทำให้ธุรกิจไม่ไปไหนเลย สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่ในสายเลือดของผู้บริหาร และควรมีที่ปรึกษาที่ดีในการลงทุนด้วยจะทำให้ บริษัทก้าวไกลแน่นอน

นายไอที

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Oppurtunitie & IT

โอกาสไม่ได้มากันบ่อยๆ หลายคนจึงมีสุภาษิตน้ำขึ้นต้องรีบตัก ในชีวิตคนโอกาสจะทางธุรกิจมักจะมาถึงไม่กี่ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งนั้นแล้วแต่คนๆนั้นจะเก็บเกี่ยวขึ้นมาด้วยรึเปล่า สำหรับโอกาสนั้นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำก่อนคือ "การเตรียมความพร้อม" สิ่งสำคัญเลยที่จะขาดไม่ได้

การทำธุรกิจให้รุ่งมักจะมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ดวง,โอกาส,ตลาด,ไหวพริบ และเงินทุน เป็นต้น ต้องเข้าใจในวัฎจักรของธุรกิจจึงจะสามารถทำธุรกิจได้ดี และรุ่งบางตลาดมาเร็วไปเร็ว เช่น พวกสินค้าเทรนต่างๆ มักจะมาเร็วไปเร็ว แต่สินค้าที่จะอยู่นาน นั่นคือพวกสินค้าแบรนต่างๆ ที่มีอายุยาวนาน เช่น นาฬิกา,เครื่องใช้ไฟฟ้้าประจำวัน  เป็นต้น สำหรับโอกาสทางธุรกิจนั้น สิ่งนึงที่จะช่วยเพิ่มความสำเร็จในโอกาสสำหรับการเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจก็คือระบบ IT ระบบ IT ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับแค่ คอมพิวเตอร์เท่านั้น ปัจจุบันระบบ IT ได้ครอบคลุมถึงการสื่อสารไร้สายและอุปกรณ์สื่อสารด้วย การประยุกต์ ระบบ IT เข้ากับระบบธุรกิจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการให้มีความแม่นยำรวดเร็วฉับไวมากยิ่งขึ้น  ปัจจุบันนั้นแทบจะไม่มีธุรกิจไหนเลยที่จะไม่พึ่งระบบ IT ในการจัดการความพร้อมเพิ่มความแม่นยำในการตลาด และโอกาสทางธุรกิจ
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น
MK ที่มีการลงทุนกับระบบ IT จำนวนมากตั้งแต่อดีตที่นำ เครื่องhandheld เข้ามาใช้ในการจัดในการเสริฟและคิดเงินให้กับลูกค้าผลคือทำให้ความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้น ลดการตกบกพร่องของการลืมเสริฟ์ของพนักงาน  ไม่เพียงแค่นั้นระบบหลังบ้านยังมีการประมวลผลยอดขายที่ทันท่วงทีทำให้สามารถทราบยอดขายในแต่ละสาาขาได้ทันที

Seven กับ ระบบ POS ที่ทันสมัย ระบบ POS คือระบบ ขายหน้าร้านทั่วไป ผลิตภัณฑ์POS มีจำหน่ายหลายบริษัท แต่บริษัทที่เป็นตัวอย่างที่ดีเลยคงหนีไม่พ้นกับ Seven แน่นอน การขายทีรวดเร็วและพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Software IT การจัดการสต๊อกอย่างมีระบบ ช่วยทำให้ Seven ตอบสนองต่อลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และลดการใช้การคิดของคนลงทำให้ การทำงานมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

จากตัวอย่างที่เห็นแสดงให้เห็นว่าระบบ IT มีความจำเป้นมากเลยทีเดียว แต่ย้อนกลับมาที่ SME ควรจะมีการเตรียมตัวระบบ IT ยังไงบ้าง ผมมีข้อคิดดังนี้นะครับ
1) ศึกษาระบบ IT ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ แต่ละธุรกิจมี ระบบ Supply Change หรือห่วงโซ่อุปทานไม่เหมือนกัน ฉะนั้นจะยึดติดกับตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ สำหรับ SME แนะนำว่า ควรหาที่ปรึกษา IT ก่อนที่จะลงมือทำ เพราะจะลดปัญหาระยะยาวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำได้อย่างถูกทาง
2) อินเตอร์เน็ตขาดไม่ได้ สำหรับ SME ยุคใหม่ ถ้าให้ดีควรจะมีเลยคืออินเตอร์เน็ตต ปัจจุบัน ราคาอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้แพงมากเกินไปแล้ว ลงทุนเดือนล่ะ 599 บาท ก็สามารถได้อินเตอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพ ได้อย่างดี
3) เว็บไซต์ ,Facbook และ Social  สำหรับเรื่องของเว็บไซต์ และ Social Network เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับ SME ยุคใหม่ ปัจจุบันการสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและฉับไว บางคนดังได้เพียงแค่ข้ามคืนแต่บางคนก็ดับได้เพียงแค่ข้ามคืนเช่นกัน เราต้องไม่ข้ามข้อนี้ เว็บไซต์หน้าร้าน ผมแนะนำว่าถ้าเป็น SME ไม่มีความเชี่ยวชาญทางอินเตอร์เน็ตเว็บไซต์มากนัก ควรจะดูแพ๊คเกจ ถูกๆของเว็บไซต์สำเร็จรูปจะดีกว่า ปัจจุบันพวกนี้มีในราคาไม่แพงและสวยงาม เริ่มจากราคาตั้งแต่ระดับพันถึงแสนเลยทีเดียวขึ้นกับงบประมาณ  ส่วนเรื่อง Facebook,Social นั้น อยากให้ศึกษาและเล่นเอาเองมากกว่าเนืองจากหนังสือมีมากมายการตลาดกับ Social Network เป็นสิ่งสำคัญมาก ในยุคแห่งการสื่อสารไร้สายนี้ จะทำธุรกิจให้สำเร็จปัจจัยนี้จำเป็นแน่นอน
4) ทีมงาน Admin ผมแนะนำแค่ Admin นะครับไม่ใช่ Developer ปัจจุบัน Admin มีหน้าที่ในการจัดการระบบ IT ดูแลเว็บไซต์ และSocial Network ซึ่ง Admin อาจจะมีแค่คนเดียวก็ได้แต่จำเป็นต้องรู้หน้าหน้าที่ในการจัดการ IT เบื้องต้น แต่ก็ไม่ใช่แค่เปิด / ปิดเครื่องเป็นแค่นั้นนะครับ ควรจะใช้ เทคโนโลยีเป็นแต่ไม่ต้องถึงขนาดพัฒนาก็ได้
5) Marketing -IT การทำการตลาดออนไลน์ปัจจุบันเริ่มร้อนแรงไม่ว่าจะเป้นเทรนผ่านทาง Mobile, Tablet หรืออื่นๆ กำลังจะตามมากมาย โอกาสเข้าถึงผู้คนก็ง่ายขึ้น ควรต้องศึกษาทันที การทำ Marketing - IT ควรจะทำด้วยตนเองหรือปรึกษาและลงมือทำด้วยตนเอง เพราะเจ้าของกิจการเท่านั้จถึงจะรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองดีที่สุด

สิ่งที่เขียนนี้คือสิ่งที่ธุรกิจ SME ควรจะมีไว้เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สิ่งเหล่านี้เป็นการลงทุนในระยะยาว และไม่แพงมากนัก ส่วนปัจจัยอื่นอย่างระบบ ERP, MRP, POS เป็นปัจจัยที่ ขึ้นกับแต่ละธุรกิจ บางธุรกิจไม่จำเป็นต้อง ERP แค่มี ระบบ Sale อย่างเดียวก็ใช้ได้แล้ว เป็นต้น

นายไอที (IT)

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

IT & Smart Service

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า IT กับการบริการนั้นเป็นของคู่กัน โดยตลอด การบริการที่เมื่อก่อนใช้คนทำ เมื่อประยุกต์กับระบบ  IT เข้ามาก็ทำให้สะดวกขึ้น และเมื่อมี Smart Device เข้ามาก็กลายเป็น IT เข้าถึงคนมากขึ้น เมื่อ Smart Device รวมกับ Service ก็กลายเป็น Smart Service

Smart Service คือ App ที่เป็นบริการเข้าถึงคนทั่วไป โดยหัวคิดนั้นประยุกต์ ระหว่าง IT กับ Business อย่างแท้จริง ปัจจุบันที่เห็นได้ชัดคือ Uber App บริการแท๊กซี่ที่ ประยุกต์การธูรกิจกับ Service IT อย่างเห็นได้ชัด กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ผมขอวิเคราะห์จุดแข็งของ Uber ให้ฟังดังนี้นะครับ
1) Taxi ที่หรูหรา ปัจจุบัน Taxi จะเป็นรถทั่วไปเท่านั้น น้อยนักที่จะมี Taxi หรูหราอย่าง Benz หรือ Camry ที่ขึ้นชื่อว่าหรูหรา ให้ใช้
2) App Uber ที่ครอบคลุมบริการ Uber ได้ประยุกต์ฺ Service เข้ากับ IT อย่างแท้จริง ทำให้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ความจริงสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่า คนมักมองไม่เห็น แต่ Uber มองเห็นทำให้เกิดธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นมาทันที เรียกว่าเข้าถึงกว่าได้เปรียบไป
3) Taxi  ขาดการพัฒนาอย่างรุนแรงเพราะ ไม่เคยเข้าถึง IT มาประยุกต์เลย เป็นระบบ manual ตลอด พอเจองานนี้ กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกับ Taxi ทั่วไปเลยทีเดียว

เบื้องต้นคือสิ่งที่เห็นนะครับ แต่สิ่งสำคัญของการใช้ IT เข้ามาประยุกต์ครั้งอยากให้เล็งเห็นถึง "โอกาส" ครับ
ช่องว่าง IT กับ Service ยังมีอีกมาก เพราะบางอย่างเราทำกันมานานจน คิดว่ามันปกติและมองข้ามไป อย่างเรื่อง Taxi นี้เป็นต้น ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดหลายๆอย่างนำ IT+Service เข้ามาละครับ ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่น่าจะทำคือการ ทำ Delivery + IT คิดว่าถ้า KFC หรือร้านอาหาร เกิดใหม่เกิดเปิดโอกาสให้มี Delivery แบบ Online เหมือน Taxi ผ่าน App ล่ะ บางที KFC หรือ พิซซ่าอาจจะพบคู่แข่งที่ไม่คาดคิดก็ได้ อย่าลืมว่าเมืองไทยเมืองร้อน หลายๆคน ไม่อยากจะออกจากบ้านเพราะร้อนมาก ข้อนีอาจจะทำให้เกิดธุรกิจ Delivery ขึ้นมาได้ครับ

IT & Business

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

IT ยุคใหม่ ยุคแห่ง คอมพิวเตอร์สวมใส่(wearable device)

Google Glass ,Fitbit, Smart watch สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นอุปกรณ์สวมใส่ ยุคใหม่ที่ทำให้ชีวิตของเราสบายขึ้น Google Glass แม้จะยังไม่มีความแพร่หลาย แต่ใครจะคิดว่า 2015 เป็นต้นไป มันจะไม่เกิด!!!

ปัจจุบันอุปกรณ์ IT สวมใส่ได้ อาจจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก สาเหตุเพราะราคาที่สูงจนเกินกว่าจะจับนั่นเอง ทำให้การแพร่หลายของมันอยู่ในประเทศผู้ลผลิตอย่าง USA หรือ ญี่ปุ่นหรือจีนเท่านั้น และราคาก็สูงลิบ แต่เมื่อเร็วๆนี้ งาน Computex ประเทศใต้หวันที่เริ่มให้ความสนใจกับ อุปกรณ์ IT สวมใส่ได้ (ข่าวนี้) โดยพี่ใหญ่อย่างจีนเริ่มเข้ามาแล้ว แสดงให้เห็นว่า มันเริ่มแพร่หลายมากขึ้นจนจีนเริ่มเข้าไปแล้ว การเข้ามาของจีนนี่เองที่จะทำให้อุปกรณ์พัฒนาไปเร็วขึ้น ตอนนี้อาจจะมีแค่ แว่นตากับนาฬิกา แต่ต่อผมว่าเราอาจจะได้เห็น เสื้อผ้าอัจฉริยะ ไม่คาดคิดก็เป็นได้

เสื้อผ้าอัจฉริยะที่ปรับอุณหภมิให้เหมาะกับสภาพอากาศอากาศร้อนก็ปรับให้เย็นอากาศหนาวก็ทำให้อุ่นได้ ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย