วันนี้ได้เห็นบทความที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่อยากรู้ว่าอะไรคือ Core ของ CPU กัน ยุคนี้สมาร์ทโฟนแข่งสเปกกันมากมาย หลายเจ้าอวด CPU Quad core, Dual Core มันเป็นยังไงกัน? วันนี้มีบทความง่ายๆมาให้ดูกันครับ
GOTO : http://news.siamphone.com/news-14863.html
จริงๆแล้ว CPU คือการประมวลผล ยิ่ง CPU ที่มีความแรงและการประมวลผลจำนวนรอบเร็วๆก็จะทำให้ประมวลผลในการใช้ App ดีขึ้นถ้าพูดภาษาคนทั่วไปคือ มันยิ่งประมวลผลเร็วและทำให้เล่น เกมหรือเปิดเว็บเร็วขึ้นครับ แต่ว่า ทั้งนี้ขึ้นกับสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมานะครับเพราะบางทีการที่มี Core เยอะๆ เช่น 8 Core ไม่ได้หมายความว่าจะเร็วกว่า 4 Core เสมอไป เพราะบางทีผู้ออกแบบอาจจะมีแนวคิดที่ว่าแบ่งการทำงานออกเป็น 4 -4 นั่นหมายถึง ทำงานทีล่ะ 4 Core อีก 4 Core ผลัดไปประมวลผลอย่างอื่นครับ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นวัตกรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นวัตกรรม แสดงบทความทั้งหมด
วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557
IT & Smart Service
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า IT กับการบริการนั้นเป็นของคู่กัน โดยตลอด การบริการที่เมื่อก่อนใช้คนทำ เมื่อประยุกต์กับระบบ IT เข้ามาก็ทำให้สะดวกขึ้น และเมื่อมี Smart Device เข้ามาก็กลายเป็น IT เข้าถึงคนมากขึ้น เมื่อ Smart Device รวมกับ Service ก็กลายเป็น Smart Service
Smart Service คือ App ที่เป็นบริการเข้าถึงคนทั่วไป โดยหัวคิดนั้นประยุกต์ ระหว่าง IT กับ Business อย่างแท้จริง ปัจจุบันที่เห็นได้ชัดคือ Uber App บริการแท๊กซี่ที่ ประยุกต์การธูรกิจกับ Service IT อย่างเห็นได้ชัด กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ผมขอวิเคราะห์จุดแข็งของ Uber ให้ฟังดังนี้นะครับ
1) Taxi ที่หรูหรา ปัจจุบัน Taxi จะเป็นรถทั่วไปเท่านั้น น้อยนักที่จะมี Taxi หรูหราอย่าง Benz หรือ Camry ที่ขึ้นชื่อว่าหรูหรา ให้ใช้
2) App Uber ที่ครอบคลุมบริการ Uber ได้ประยุกต์ฺ Service เข้ากับ IT อย่างแท้จริง ทำให้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ความจริงสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่า คนมักมองไม่เห็น แต่ Uber มองเห็นทำให้เกิดธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นมาทันที เรียกว่าเข้าถึงกว่าได้เปรียบไป
3) Taxi ขาดการพัฒนาอย่างรุนแรงเพราะ ไม่เคยเข้าถึง IT มาประยุกต์เลย เป็นระบบ manual ตลอด พอเจองานนี้ กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกับ Taxi ทั่วไปเลยทีเดียว
เบื้องต้นคือสิ่งที่เห็นนะครับ แต่สิ่งสำคัญของการใช้ IT เข้ามาประยุกต์ครั้งอยากให้เล็งเห็นถึง "โอกาส" ครับ
ช่องว่าง IT กับ Service ยังมีอีกมาก เพราะบางอย่างเราทำกันมานานจน คิดว่ามันปกติและมองข้ามไป อย่างเรื่อง Taxi นี้เป็นต้น ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดหลายๆอย่างนำ IT+Service เข้ามาละครับ ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่น่าจะทำคือการ ทำ Delivery + IT คิดว่าถ้า KFC หรือร้านอาหาร เกิดใหม่เกิดเปิดโอกาสให้มี Delivery แบบ Online เหมือน Taxi ผ่าน App ล่ะ บางที KFC หรือ พิซซ่าอาจจะพบคู่แข่งที่ไม่คาดคิดก็ได้ อย่าลืมว่าเมืองไทยเมืองร้อน หลายๆคน ไม่อยากจะออกจากบ้านเพราะร้อนมาก ข้อนีอาจจะทำให้เกิดธุรกิจ Delivery ขึ้นมาได้ครับ
IT & Business
Smart Service คือ App ที่เป็นบริการเข้าถึงคนทั่วไป โดยหัวคิดนั้นประยุกต์ ระหว่าง IT กับ Business อย่างแท้จริง ปัจจุบันที่เห็นได้ชัดคือ Uber App บริการแท๊กซี่ที่ ประยุกต์การธูรกิจกับ Service IT อย่างเห็นได้ชัด กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ผมขอวิเคราะห์จุดแข็งของ Uber ให้ฟังดังนี้นะครับ
1) Taxi ที่หรูหรา ปัจจุบัน Taxi จะเป็นรถทั่วไปเท่านั้น น้อยนักที่จะมี Taxi หรูหราอย่าง Benz หรือ Camry ที่ขึ้นชื่อว่าหรูหรา ให้ใช้
2) App Uber ที่ครอบคลุมบริการ Uber ได้ประยุกต์ฺ Service เข้ากับ IT อย่างแท้จริง ทำให้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ความจริงสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่า คนมักมองไม่เห็น แต่ Uber มองเห็นทำให้เกิดธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นมาทันที เรียกว่าเข้าถึงกว่าได้เปรียบไป
3) Taxi ขาดการพัฒนาอย่างรุนแรงเพราะ ไม่เคยเข้าถึง IT มาประยุกต์เลย เป็นระบบ manual ตลอด พอเจองานนี้ กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกับ Taxi ทั่วไปเลยทีเดียว
เบื้องต้นคือสิ่งที่เห็นนะครับ แต่สิ่งสำคัญของการใช้ IT เข้ามาประยุกต์ครั้งอยากให้เล็งเห็นถึง "โอกาส" ครับ
ช่องว่าง IT กับ Service ยังมีอีกมาก เพราะบางอย่างเราทำกันมานานจน คิดว่ามันปกติและมองข้ามไป อย่างเรื่อง Taxi นี้เป็นต้น ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดหลายๆอย่างนำ IT+Service เข้ามาละครับ ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่น่าจะทำคือการ ทำ Delivery + IT คิดว่าถ้า KFC หรือร้านอาหาร เกิดใหม่เกิดเปิดโอกาสให้มี Delivery แบบ Online เหมือน Taxi ผ่าน App ล่ะ บางที KFC หรือ พิซซ่าอาจจะพบคู่แข่งที่ไม่คาดคิดก็ได้ อย่าลืมว่าเมืองไทยเมืองร้อน หลายๆคน ไม่อยากจะออกจากบ้านเพราะร้อนมาก ข้อนีอาจจะทำให้เกิดธุรกิจ Delivery ขึ้นมาได้ครับ
IT & Business
วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557
IT ยุคใหม่ ยุคแห่ง คอมพิวเตอร์สวมใส่(wearable device)
Google Glass ,Fitbit, Smart watch สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นอุปกรณ์สวมใส่ ยุคใหม่ที่ทำให้ชีวิตของเราสบายขึ้น Google Glass แม้จะยังไม่มีความแพร่หลาย แต่ใครจะคิดว่า 2015 เป็นต้นไป มันจะไม่เกิด!!!
ปัจจุบันอุปกรณ์ IT สวมใส่ได้ อาจจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก สาเหตุเพราะราคาที่สูงจนเกินกว่าจะจับนั่นเอง ทำให้การแพร่หลายของมันอยู่ในประเทศผู้ลผลิตอย่าง USA หรือ ญี่ปุ่นหรือจีนเท่านั้น และราคาก็สูงลิบ แต่เมื่อเร็วๆนี้ งาน Computex ประเทศใต้หวันที่เริ่มให้ความสนใจกับ อุปกรณ์ IT สวมใส่ได้ (ข่าวนี้) โดยพี่ใหญ่อย่างจีนเริ่มเข้ามาแล้ว แสดงให้เห็นว่า มันเริ่มแพร่หลายมากขึ้นจนจีนเริ่มเข้าไปแล้ว การเข้ามาของจีนนี่เองที่จะทำให้อุปกรณ์พัฒนาไปเร็วขึ้น ตอนนี้อาจจะมีแค่ แว่นตากับนาฬิกา แต่ต่อผมว่าเราอาจจะได้เห็น เสื้อผ้าอัจฉริยะ ไม่คาดคิดก็เป็นได้
เสื้อผ้าอัจฉริยะที่ปรับอุณหภมิให้เหมาะกับสภาพอากาศอากาศร้อนก็ปรับให้เย็นอากาศหนาวก็ทำให้อุ่นได้ ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย
ปัจจุบันอุปกรณ์ IT สวมใส่ได้ อาจจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก สาเหตุเพราะราคาที่สูงจนเกินกว่าจะจับนั่นเอง ทำให้การแพร่หลายของมันอยู่ในประเทศผู้ลผลิตอย่าง USA หรือ ญี่ปุ่นหรือจีนเท่านั้น และราคาก็สูงลิบ แต่เมื่อเร็วๆนี้ งาน Computex ประเทศใต้หวันที่เริ่มให้ความสนใจกับ อุปกรณ์ IT สวมใส่ได้ (ข่าวนี้) โดยพี่ใหญ่อย่างจีนเริ่มเข้ามาแล้ว แสดงให้เห็นว่า มันเริ่มแพร่หลายมากขึ้นจนจีนเริ่มเข้าไปแล้ว การเข้ามาของจีนนี่เองที่จะทำให้อุปกรณ์พัฒนาไปเร็วขึ้น ตอนนี้อาจจะมีแค่ แว่นตากับนาฬิกา แต่ต่อผมว่าเราอาจจะได้เห็น เสื้อผ้าอัจฉริยะ ไม่คาดคิดก็เป็นได้
เสื้อผ้าอัจฉริยะที่ปรับอุณหภมิให้เหมาะกับสภาพอากาศอากาศร้อนก็ปรับให้เย็นอากาศหนาวก็ทำให้อุ่นได้ ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย
วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ราชาทวงบัลลังค์(แผ่นดิน Smartphone คือของข้า Apple)
ในงาน WWCD แอปเปิ้ลเปิดตัว IOS8 ไม้ตายเด็ดๆมายมาย โดยจะเห้นหนทางแห่งการเปิดนวัตกรรมใหม่ นั่นคือการเปิดภาษาใหม่ ที่เรียกว่า "Swift" การเอาใจคนใช้ Mac & IOS ด้วย ฟีเจอร์ Extesibility เพื่อให้การทำงานไม่ขาดช่วง ไร้รอยต่อระหว่าง Smartphone และ MAC มากยิ่งขึ้น และยังมีหมัดเด็ด สองหมัดที่เห็นชัดคือ การบุกตลาด Home User ด้วยการเปิดตัว HomeKit ชุดควบคุมบ้านที่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งหน้าตกใจอะไรเพราะ เทคโนโลยีมันก็มีแววมาถึงขนาดนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่มันน่าสนใจตรงนี้อยู่แล้ว อีกอย่างคือการบุกตลาด สุขภาพ ที่การแข่งขันยังไม่รุนแรง แสดงให้เห็นถึงแนวทางการบุกเบิกยุคใหม่ของ Apple แน่นอนว่า การทำครั้งนี้ไม่มีนวัตกรรมอะไรน่าสนใจ แต่ว่า ที่น่าสนใจคือ การเขย่าและท้าทาย Android อย่างเห็นได้ชัด การเพิ่มฟีเจอร์มากมายใน iOS8 มันเริ่มทัน Android ที่เป็นราคาครองบัลลงค์สมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้ว แต่ว่าการทำเช่นนี้ ก็มีผลเสียมากเลยสำหรั Apple เพราะอะไร?
1) ทุกสิ่งที่เปิดตัวมา จำเป็นจะต้องขอความร่วมมือจาก Developer และ Pathner จำนวนมาก แต่ Apple ค่อนข้างมีจุดแข็งด้านนี้พอสมควร
2) ทุกสิ่งที่ Apple เเปิดมา นอกจาก Swift ที่เป็นภาษาใหม่ ล้วนแต่มีคนทำแล้วทั้งสิ้น บน Android ฉะนั้น Apple ต้องทำการบ้านในการหา Pathner อีกมาก
3) Swift ยังหาความน่าเชื่อถือยาก เพราะต้องให้ระยะเวลาเป็นตัวทดสอบ
4) ทุกอย่างต้องใช้เงินทุนมหาศาล เพราะแนวทางมันเหมือนการบุกเบิกใหม่เลยทีเดียว
แค่นี้ก็พอเห็นบ้างแล้วใช่ไหมครับทีนี้มาดูหนทางที่ Apple พยายามบุกบ้าง
อย่างตามหัวข้อครับ ราชาทวงบัลลังค์ การเปิดตัว iOS8 คราวนี้ Apple ได้ทำการอัพเดตฟีเจอร์ต่างๆที่ยังขาด ให้ทันกับ Android ด้วย "ตนเอง" การทำแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ยอมลดละที่จะทวงบัลลังค์คืนของ Apple เลย พร้อมกับแนวทางในการกรุยทางเปิดตัวภาษาใหม่ และชุด HomeKit & Health แสดงให้เห็นว่า Apple กำลังพยายามทำตัว ให้เป็นพี่ใหญ่โดยการสร้างทุกอย่างด้วยตนเอง และให้คนเข้ามาใช้ และถ้าเห็นข่าวพักนี้ Apple จะไม่มีพันธมิตรแต่จะซื้อเอาเลย มันเป็นสัญญาณบอกเหตุว่า "กำลังสะสมกำลัง" เพื่อเอาคืน แต่ว่า Apple คงต้องระวังมากขึ้น เนื่องจากว่าคู่แข่งของทาง Android นั้นมีจุดแข็งที่พันธมิตรจำนวนมากทำให้งบประมาณด้านนี้ แทบจะไม่มีเลยมุ่งเน้น ทางด้านทางด้าน SDK อย่างเดียว และประชาสัมพันธ์จำนวนมากก็จะสามารถทำได้ระดับเดียวกับ apple เช่นกัน การได้เปรียบเสียเปรียบ Apple ยังคงเป็นรองอยู่อาจจะเป็นพราะระบบปิดของ Apple เองที่ทำให้จำเป็นจะต้องซื้อ และพัฒนาเอง ขณะที่ Android เป็น Open จึงไม่ต้องคำนึงด้านนี้ ขอเพียงเป็นประโยชน์ต่อ Android ไม่ว่าใครก็ยินดีทั้งนั้น
ศึกนี้ยังคงต้องจับตาดูต่อไป Apple จะทวงบัลลังค์ได้คงต้องหาวิธีไม้ตายฆ่าแม่ทัพฝั่งศัตรูให้ได้ หรือหาวิธีตัดแขนขา แย่ง Pathner เพื่อให้ความกดดันอยู่ในฝั่ง Google บ้างแต่ดูท่าที่แล้ว ถ้า Apple ยังไล่ซื้อเรื่อยไป บางทีอาจจะยากกว่าที่คิดเพราะการทำพวกนี้จำเป็นจะต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาล ซึ่งถ้าทำไม่ได้ดีอาจจะถึงกาลอวสานได้เลยทีเดียว
1) ทุกสิ่งที่เปิดตัวมา จำเป็นจะต้องขอความร่วมมือจาก Developer และ Pathner จำนวนมาก แต่ Apple ค่อนข้างมีจุดแข็งด้านนี้พอสมควร
2) ทุกสิ่งที่ Apple เเปิดมา นอกจาก Swift ที่เป็นภาษาใหม่ ล้วนแต่มีคนทำแล้วทั้งสิ้น บน Android ฉะนั้น Apple ต้องทำการบ้านในการหา Pathner อีกมาก
3) Swift ยังหาความน่าเชื่อถือยาก เพราะต้องให้ระยะเวลาเป็นตัวทดสอบ
4) ทุกอย่างต้องใช้เงินทุนมหาศาล เพราะแนวทางมันเหมือนการบุกเบิกใหม่เลยทีเดียว
แค่นี้ก็พอเห็นบ้างแล้วใช่ไหมครับทีนี้มาดูหนทางที่ Apple พยายามบุกบ้าง
อย่างตามหัวข้อครับ ราชาทวงบัลลังค์ การเปิดตัว iOS8 คราวนี้ Apple ได้ทำการอัพเดตฟีเจอร์ต่างๆที่ยังขาด ให้ทันกับ Android ด้วย "ตนเอง" การทำแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ยอมลดละที่จะทวงบัลลังค์คืนของ Apple เลย พร้อมกับแนวทางในการกรุยทางเปิดตัวภาษาใหม่ และชุด HomeKit & Health แสดงให้เห็นว่า Apple กำลังพยายามทำตัว ให้เป็นพี่ใหญ่โดยการสร้างทุกอย่างด้วยตนเอง และให้คนเข้ามาใช้ และถ้าเห็นข่าวพักนี้ Apple จะไม่มีพันธมิตรแต่จะซื้อเอาเลย มันเป็นสัญญาณบอกเหตุว่า "กำลังสะสมกำลัง" เพื่อเอาคืน แต่ว่า Apple คงต้องระวังมากขึ้น เนื่องจากว่าคู่แข่งของทาง Android นั้นมีจุดแข็งที่พันธมิตรจำนวนมากทำให้งบประมาณด้านนี้ แทบจะไม่มีเลยมุ่งเน้น ทางด้านทางด้าน SDK อย่างเดียว และประชาสัมพันธ์จำนวนมากก็จะสามารถทำได้ระดับเดียวกับ apple เช่นกัน การได้เปรียบเสียเปรียบ Apple ยังคงเป็นรองอยู่อาจจะเป็นพราะระบบปิดของ Apple เองที่ทำให้จำเป็นจะต้องซื้อ และพัฒนาเอง ขณะที่ Android เป็น Open จึงไม่ต้องคำนึงด้านนี้ ขอเพียงเป็นประโยชน์ต่อ Android ไม่ว่าใครก็ยินดีทั้งนั้น
ศึกนี้ยังคงต้องจับตาดูต่อไป Apple จะทวงบัลลังค์ได้คงต้องหาวิธีไม้ตายฆ่าแม่ทัพฝั่งศัตรูให้ได้ หรือหาวิธีตัดแขนขา แย่ง Pathner เพื่อให้ความกดดันอยู่ในฝั่ง Google บ้างแต่ดูท่าที่แล้ว ถ้า Apple ยังไล่ซื้อเรื่อยไป บางทีอาจจะยากกว่าที่คิดเพราะการทำพวกนี้จำเป็นจะต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาล ซึ่งถ้าทำไม่ได้ดีอาจจะถึงกาลอวสานได้เลยทีเดียว
วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557
E-book VS หนังสือปกติ
จากที่ผมได้อ่านข่าววันนี้ที่ เว็บบล๊อกนันในหัวเกี่ยวกับตลาดของ E-book ข่าวนั้นระบุเกี่ยวกับ B2S ผู้ขายหนังสือและเครื่องเขียนรายใหญ่เข้าซื้อหุ้น 75% ของ MEB เว็บขาย E-book ชื่อดัง(ลิงค์) เลยย้อนกลับมาที่ตัวเองซึ่งก็เป็นคนนึงที่ชอบแต่ E-book มากๆ แต่ไม่ชอบอ่านหนังสือปกติเลย (อ่านทีไรหลับตลอดยกเว้นหนังสือคอมพิวเตอร์) ทำให้ผมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ E-book ออกมาครับ แและ E-Book นี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับ IT เช่นกัน
วิวัฒนาการของการอ่านหนังสือนั้นมีมาตั้งแต่เริ่มมีคอมพิวเตอร์เลย คอมพิวเตอร์กับการอ่านหนังสือนั้นเริ่มมีคู่กันมาตั้งแต่ PC,Notebook และล่าสุดก็แท๊บเล็ต ซึ่งการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตก็เป็นปัจจัยนึงที่สำคัญในการเลือกแท๊บเล็ต ผมคนนึงก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือกับคอมพิวเตอร์และติดใจการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตมาก และเหตุผลแรกที่ผมซื้อแท๊บเล็ตก็คือเอามาอ่านหนังสือนั่นเอง สำหรับผม การอ่านหนังสือบแท๊บเล็ตคือสิ่งที่ผมเรียกว่า มันคือวิวัฒนาการของหนังสือขั้นนึง แน่นอนว่าหลายคนๆก็ไม่ชอบข้อนี้ เพราะการอ่านหนังสือกับหนังสือปกติไม่ใช่แท๊บเล็ตก็ยังมีคนชอบอยู่มาก ผมได้ถามเพื่อนๆหลายคนที่ชอบอ่านหนังสือและรวบรวมออกมาสรุปได้มีเหตุผลหลักๆก็คือ
หนังสือ อิเล็กทรอนิก(E-book)
จากที่เห็นข้อดีข้อเสียในการอ่านหนังสือ บน Tablet แล้ว ก็คงพอจะทำให้หลายๆคนพอจะพิจารณาได้ว่าจะเอาแท๊บเล็ตมาอ่านหนังสือดีหรือไม่ อย่างไรบ้าง ผมหวังวว่ามันจะช่วยระดับนึงนะครับ เพราะต้องคำนึงด้วยว่า ช่องว่างของเทคโนโลยีมาช่วยทดแทนจุดด้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางทีการอ่านข้ามหน้าที่ตอนนี้ไม่ว่าโปรแกรมไหน ก็จะต้องจิ้มเกินสองครั้ง อาจจะต้องไม่จิ้มเลยก็ได้แค่ออกเสียงเอา
ผมมีความเห็นว่า เราควรอนุรักษ์หนังสือไว้ แต่ก็ควรจะเอาหนังสือเหล่านั้นสแกนมาเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์ข้อความและความรู้ไว้ใน Server และเผยแพร่ให้กับทุกคนได้อ่าน เพราะข้อดีของไฟล์ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ควรจะปฏิเสธซะเลยทีเดียว แค่นำสองอย่างมาไว้ก็พอครับ
สำหรับแท๊บเล็ตที่แนะนำในการอ่าน E-book คงแนะนำตัวใดตัวหนึ่งก็คงไมไ่ด้ แต่ผมแนะนำให้ซื้อหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไปครับ แต่ไม่ควรเกิน 12" ครับ
เว็บไซต์ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ E-book ครับ
1) MEB - www.mebmarket.com
2) OOKBee0- http://www.ookbee.com/
3) SEED - https://www.se-ed.com/e-books.aspx
วิวัฒนาการของการอ่านหนังสือนั้นมีมาตั้งแต่เริ่มมีคอมพิวเตอร์เลย คอมพิวเตอร์กับการอ่านหนังสือนั้นเริ่มมีคู่กันมาตั้งแต่ PC,Notebook และล่าสุดก็แท๊บเล็ต ซึ่งการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตก็เป็นปัจจัยนึงที่สำคัญในการเลือกแท๊บเล็ต ผมคนนึงก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือกับคอมพิวเตอร์และติดใจการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตมาก และเหตุผลแรกที่ผมซื้อแท๊บเล็ตก็คือเอามาอ่านหนังสือนั่นเอง สำหรับผม การอ่านหนังสือบแท๊บเล็ตคือสิ่งที่ผมเรียกว่า มันคือวิวัฒนาการของหนังสือขั้นนึง แน่นอนว่าหลายคนๆก็ไม่ชอบข้อนี้ เพราะการอ่านหนังสือกับหนังสือปกติไม่ใช่แท๊บเล็ตก็ยังมีคนชอบอยู่มาก ผมได้ถามเพื่อนๆหลายคนที่ชอบอ่านหนังสือและรวบรวมออกมาสรุปได้มีเหตุผลหลักๆก็คือ
- หนังสือเก่าเหมาะแก่การเก็บสะสม และอนุรักษ์ไว้
- การอ่านหนังสือกับหนังสือปกติ มันได้อารมณ์กว่าการอ่านกับแท๊บเล็ต
- ชินกับการอ่านหนังสือปกติมากกว่า เราสามารถเปิดในหน้าที่จำได้ โดยที่จะไม่ต้องจำหน้า แค่ขั้นหน้าไว้หรือ เปิดๆแบบเร็วๆก็ได้
ผมขอสรุปข้อดีของการการอ่านหนังสือแบบแท๊บเล็ตหรือ E-Book กับการอ่านแบบปกตินะครับ
หนังสือปกติ
หนังสือปกติ
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
|
1)
ยิ่งหนังสือมาก ยิ่งเปลืองพื้นที่มาก
2)
หนังสือมีอายุเก่า ตามสภาพวันและเวลา
3)
ต้องสรรหาอุปกรณ์ในการเก็บรักษา
4)
การฉีดขาดของหน้ากระดาษ
ที่จำเป็นจะต้องถนออมและเปิดเบาๆ
5)
การพิมพ์บางสำนักพิมพ์ไม่ได้มาตรฐานทำให้บางเล่มขาดง่ายและหลุดเป็นแผ่นๆ
6) หนังสือบางเล่มใช้ตัวหนังสือเล็กทำให้ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ
7) อ่านในที่มืดๆ ไม่ได้เพราะไม่มีแสงสว่างในตัว
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
|
1. ไม่สามารถ Highlight แถวหรือขีดเส้นได้หรือมาร์ดใดๆลงไปได้
2. หาที่ซื้อหนังสือยังน้อย ต้องหาซื้อเช่น ที่เว็บMEB,OOkbee
3. การอัพเดตหนังสือใหม่ยังช้า
4. การชำระเงินในการซื้อยังไม่สะดวก
5. อุปกรณ์บางชนิดยังทำร้ายสายตาเมื่ออ่านนานๆ
6. การขั่นหน้าที่เราอ่าน เราต้องจำตัวเลขไว้ ซื้อถ้าเป็นหนังสือปกติการอ่านข้ามหน้าไม่จำเป็นจะต้องจำตัวเลข
|
จากที่เห็นข้อดีข้อเสียในการอ่านหนังสือ บน Tablet แล้ว ก็คงพอจะทำให้หลายๆคนพอจะพิจารณาได้ว่าจะเอาแท๊บเล็ตมาอ่านหนังสือดีหรือไม่ อย่างไรบ้าง ผมหวังวว่ามันจะช่วยระดับนึงนะครับ เพราะต้องคำนึงด้วยว่า ช่องว่างของเทคโนโลยีมาช่วยทดแทนจุดด้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางทีการอ่านข้ามหน้าที่ตอนนี้ไม่ว่าโปรแกรมไหน ก็จะต้องจิ้มเกินสองครั้ง อาจจะต้องไม่จิ้มเลยก็ได้แค่ออกเสียงเอา
ผมมีความเห็นว่า เราควรอนุรักษ์หนังสือไว้ แต่ก็ควรจะเอาหนังสือเหล่านั้นสแกนมาเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์ข้อความและความรู้ไว้ใน Server และเผยแพร่ให้กับทุกคนได้อ่าน เพราะข้อดีของไฟล์ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ควรจะปฏิเสธซะเลยทีเดียว แค่นำสองอย่างมาไว้ก็พอครับ
สำหรับแท๊บเล็ตที่แนะนำในการอ่าน E-book คงแนะนำตัวใดตัวหนึ่งก็คงไมไ่ด้ แต่ผมแนะนำให้ซื้อหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไปครับ แต่ไม่ควรเกิน 12" ครับ
เว็บไซต์ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ E-book ครับ
1) MEB - www.mebmarket.com
2) OOKBee0- http://www.ookbee.com/
3) SEED - https://www.se-ed.com/e-books.aspx
วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
รัฐประหารอุปสรรคการพัฒนา
การพัฒนาประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
แต่หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นด้าน IT แต่ทั้งนี้หลายๆประเทศก็จะมีกฎหมายเกี่ยวกับ ICT
แน่นอน
เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นและกีดกันเหตุร้ายที่เกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งใดที่ทุกคนไม่คาดคิดเลยคือการรัฐประหาร
การรัฐประหารคืออะไรแล้วจะมีปัญหาอย่างไร?
อย่างแรกเลยรัฐประหารมักจะเกิดจากทหารร้อยละ 95% ที่เหลือจะเกิดจากเหตุอื่น
แต่ไม่ว่าอย่างไรย่อมส่งผลร้ายมากกว่าดีแน่นอน การรัฐประหารคือการที่คนกลุ่มหนึ่ง
ไม่พอใจกับสถานการปัจจุบันไม่ว่าจะหวังดีหรือหวังร้าย
ออกมาทำการต่อต้านรัฐบาลและยึดอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลซะ
และให้ตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่แทน แน่นอนว่าวิธีการพวกนี้ไม่ใช่แนวทางที่นานาประเทศยอมรับ
บางประเทศถึงกับตัดการทูตทันที ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ว่ามีผลยังไง
มันมีผลกระทบมากมาย มันหมายความว่าการทำการค้า การแลกเปลี่ยนแรงงาน หรือ
การเจรจาต่างๆถูกตัดขาดจากประเทศนั้นๆ ซึ่ง
หากเราเป็นประเทศมหาอำนาจคงจะไม่มีปัญหาสักเท่าไร แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ล่ะ คิดง่ายๆ
ถ้าเราถูกตัดการทูตจากยุโรป หรือจีน เราจะไม่สามารถส่งของออกไปค้าขายกับจีน
ไม่สามารถส่งแรงงานไปต่างประเทศได้ จะส่งผลกระทบขนาดไหน? บางคนบอกว่า เฮ้ย
งั้นเราก็อยู่ด้วยตัวเองให้ได้สิ คำตอบคือมันอยู่ไม่ได้ครับ เพราะอะไร? ร้อยละ 60
ของรายได้ของเราคือการส่งออก
และเรานำเข้าสินค้าต่างประเทศเยอะมาก หากเราถูกตัดความสัมพันธ์ทางการค้าเมื่อไร
ประเทศจะมีปัญหา นายทุนหลายรายจะล่มจม การพัฒนาจะหยุดชะงัก เนื่องจากเรามีการพึ่งพานวัตกรรมจากต่างประเทศมากเกินไป
ประเทศจะหยุดนิ่งทันที นั่นคือสิ่งที่เขากลัวในการตัดการความสัมพันธ์ทางการทูต
ผมอาจจะพูดให้โหดร้ายไปหน่อย แต่ความจริงแล้วมันหนีไม่พ้นถ้าเกิดขึ้น ฉะนั้น
การรัฐประหารจึงดูน่ากลัว ถ้าเกิดผลกระทบอย่างนี้ แล้วกระทบกับการพัฒนายังไง
1.
ประเทศจะหยุดการทำวิศวะกรรมหลายๆอย่าง
เพราะต้องชะลอโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า หรือ การทำถนน
2.
การสื่อสารถูกคุกคาม
สาเหตุเพราะภายใต้การรัฐประหารนี้ห้ามให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น
3.
ต่างประเทศอาจจะตัดการทูตได้
เพราะหลายประเทศรังเกียจประเทศรัฐประหารบ่อย
4.
เทคโนโลยีต่างๆจะหยุดชะงักทันที ไม่ว่าจะเป็นด้าน
IT หรือวิศวะกรรมอื่นๆ สาเหตุเพราะ ต้องรอคำสั่งอนุญาติจากคณะรัฐประหาร
แต่การลงทุนรอไม่ได้ส่งผลให้การค้าขาดทุน และการค้าระหว่างประเทศ ทำไม่ได้
ลูกค้าจำเป็นจะต้องไปที่อื่น และบางทีอาจจะไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งย่อมส่งผลเสียทางด้านการค้าแน่นอน
และด้าน IT ก็เกิดปัญหาจากการหยุดชะงักของเทคโนโลยี จะทำให้บ้านเมืองล้าหลังจากชาวบ้านทันที
บางคนจะเถียงว่าไม่จริง หรือบางคนบอกของพวกนี้ไม่มีก็ไม่ตาย สิ่งที่คุณพูด
ไม่จริงนั้น อาจจะมีเหตุผล แต่ที่แน่ๆคุณปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า โลกพัฒนาขึ้น
การสื่อสารต่างประเทศไปเรื่อยๆ แต่บ้านเรายังอยู่ที่เดิม เพราะผลกระทบจากการทำรัฐประหารไง
5.
รัฐบาลไม่เป็นตัวของตัวเอง ประชาชนไม่ยอมรับ
และต่อต้าน เศรษฐกิจชะงัก ทันที ตลาดหุ้นผันผวน
อีกมากมายล้วนคือผลกระทบของรัฐประหาร ฉะนั้นคนที่สนับสนุนการรัฐประหารขอให้คิดให้ดี
ว่ามันมีผลกระทบยังไงบ้าง ชอบได้ รักได้ ไม่ว่าจะเป็นยังไง แต่ถ้าทำอะไรไปแล้ว
ต้องถามตัวเองว่า “กล้ารับผิดชอบไหม?”
ผมบอกเลยผมไม่ทำอะไรได้แต่โพสเพราะผมรับผิดชอบไม่ได้ แต่หลายๆคนทำไปแล้ว กลับไม่คิดถึงคำว่า “รับผิดชอบเลย”
ยิ่งคณะรัฐประหารแล้วไม่ต้องพูดถึง เขาไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น
คนรับผลกระทบคือประชาชนตาดำ สำหรับผมแนวทางที่ดีในถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นคือ
การปรับตัวครับ ยอมรับในผลกระทบและหยุดพัฒนาจากนั้นปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
เพราะคนตัวเล็กๆนี้ทำอะไรไม่ได้ แต่ผมบอกเลย ผมไม่สนับสนุนรัฐประหารแน่นอนครับ
วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
จิตสำนึกนักพัฒนาซอฟท์แวร์กับปัญหาลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์
ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ คงต้องเรียกว่าเป็นปัญหากันทั่วโลกเลยก็ว่าได้
เพราะมนุษย์ชอบของฟรี แน่นอนว่า ไม่มีใครไม่ชอบอะไรที่ได้มาฟรีๆ เริ่มจากการละเมิดกอปปี้สิ่งของทั่วไป
จนมาถึงยุค IT ที่เริ่มละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าประเภท Software หรือ License เพลงหรือหนัก
ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าจะแก้ไข แต่ลึกๆ แล้วถ้าพบจริงๆ ปัญหานี้อาจจะเกิดจากการที่
คนเราขาดจิตสำนึกเองก็ได้ เพราะอะไร? คำตอบมันยากกว่าที่จะบรรยายออกมาได้ บางคนโทษสิ่งแวดล้อม บางคนบอกมันสนุก
ก็แล้วแต่เหตุผลของแต่ละคนไป แต่ผมในฐานะนักพัฒนาคนนึง ก็ต้องยอมรับว่า
ปัญหาพื้นฐานในการละเมิดลิขสิทธิ์ผม เริ่มมากกว่า ที่เริ่มละเมิดตั้งแต่เริ่มต้น
ตรงไหน? ขอย้อนกลับไปตอนเป็นเด็กมัธยมปลายที่มีคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
ซึ่งเครื่องนั้นผมก็ละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว ละเมิดตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเราละเมิด
เชื่อหรือไม่ เด็กไทยยุคผม ยุค IT เริ่มจะบูมร้อยละ
80 มีคอมพิวเตอร์เครื่องแรกคือ PC และระบบปฏิบัติการ
Windows โดยหารู้ไหมว่า
คอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องนั้น ละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหมด ดูน่าตกใจมากใช่ไหม
แต่นั่นแหละคือความจริง ผมเริ่มต้นชีวิตของนักคอมพิวเตอร์โดยการละเมิดลิขสิทธิ์
แต่แน่นอนล่ะ ผมต้องยอมรับอย่างว่า ถ้าไม่มีเครื่องนั้นผมก็ไม่รู้จักคำว่า “คอมพิวเตอร์”
แต่ว่าแม้มันจะผิด แต่ผมก็ทำไปแล้ว แน่นอนผมปัจจุบันก็เริ่มสำนึกผิด แต่ว่า ต้องยอมรับว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เพราะถ้าไม่มีการละเมิดอย่างนั้น ผมก็คงไม่มีคอมพิวเตอร์แน่นอน
บ้านผมไม่ได้มีฐานะขนาดนั้น ประเทศเราเป็นประเทศที่ลิขสิทธิ์แพงมาก
ทำให้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์โตได้เร็วมาก อาจจะมีหลายคนที่เป็นนักปรัชญา บอกว่า
เฮ้ ถ้าไม่มีเงินก็หาสิ ถ้าไม่มีก็อย่าเพิ่งใช้ หรือ ว่าบางคนจะบอก ถ้าขโมยซาลาเปาช่วยแม่
อย่างงี้ก็ไม่ผิดใช่ไหม? แน่นอน สิ่งเหล่านี้ผมบอกเลยมันผิด แต่ว่าต้องไม่ลืมว่า
เราคือมนุษย์ จะให้ตรงเป๊ะมันไม่ได้ ผิดก็ส่วนผิดก็ลงโทษ หรือชดใช้
แต่ว่าหากคิดจะทำให้ตรงเป๊ะ บางทีคนเรามันก็ทำไม่ได้ชีวิตเราคือมนุษย์
กกำลังตอนนั้นทำได้แค่นั้นจริงๆ แน่นอนผมคิดอย่างงี้ เพราะ ปัจจุบันพอผมมีกำลัง
ผมก็เริ่มที่จะใช้สินค้าถูกลิขสิทธิ์ และแน่นอน ผมอาจจะถูกด่าหน้าด้าน
แต่ผมก็บอกเลย ผมรณรงค์ใช้สินค้าถูกลิขสิทธิ์ ซึ่งผมเองอยากมีกำลังมากๆ ตอนนี้
เพราะอะไร? เพราะผมอยากรณรงค์ ใช้สินค้าถูกลิขสิทธิ์ให้เข้ากับบ้านเรา
บางทีนี่อาจจะเรียก “จิตสำนึกของนักพัฒนา” ก็เป็นได้ แต่ผมบอกเลย
ผมอยากจะใช้สินค้าถูกลิขสิทธิ์แน่นอน ปัจจุบันปัญหาบ้านเราคือ “เสียน้อย เสียยาก
เสียมากเสียง่าย” บ้านเราให้ความสำคัญกับ IT น้อยเกินไป
คิดว่ามันคือสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน และหลายๆสิ่งก็พบัปัญหาว่า Software
มันแพงเกินไปกว่าเราจะซื้อและใช้
อย่างเช่นผมอยากใช้ Visual Studio ในแบบ Ultimate แต่ว่าโหย Software
ตัวนี้ราคาแพงถึงตัวละแสน
บาท ฟังไม่ผิด ตัวละแสน มันทำให้ เอ่อคือถ้าประหยัดต้นทุนได้ ยอมละเมิดดีกว่าไหม?
และทางละเมิดก็ง่ายเหลือเกิน โหลดบิทไม่ถึง วันก็ได้แล้ว เร็วไหมล่ะ? นี่แหละคือปัญหา
แต่ปัญหานี้จะแก้ได้ หมดไปถ้า เพราะเรื่องเดียวจะแก้ได้เลยคื “ผ่อนบัตรเครดิต 0% + เน้นราคาไม่เกินจริง”
ผมกล้าบอกเลยปัญหานี้หมดแน่ ถ้าบ้านเราเปลี่ยนใหม่ Software หลายๆตัว
ผู้ผลิตมักจะมาจากต่างประเทศ แต่บ้านเรากลับน้อยมาก และหา Dealer ยากมาก และ Dealer
กลับเน้นขายเฉพาะองค์กร
ไม่เน้นกับ Personal เลย ซึ่งจริงๆแล้ว ตลาด Personal ตรงนี้น่ะ
กว้างมากๆ ขอเพียงมี Dealer ในไทยกล้าขายกับ Personal โดยใช้แบบธรรมดาที่ตอบสนองตอ่การทำงานได้พร้อมกับ
ราคาไม่แพง หรือมีโปรโมรชั่นผ่อน 0% ละก็ ใช้กับบ้านเราได้แน่นอน แต่ปัจจุบันยังละเลยจุดนี้กันมาก
แม้จะมีหลายคนเกิด “จิตสำนึกลิขสิทธิ์” แต่ว่า พอเจอราคาแล้วก็เลยบอก “ไม่ไหว”
ผมเองก็เจออย่างนี้หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Office (ตอนนี้ผมหันมาใช้
365 ก็ถูกดี) โปรแกรมตัดต่อวีดีโอชือดังอย่าง Ulead ที่แพงหูฉี่ ,
Adobe ที่โหยแพงมาก หา Dealer ก็ไม่ได้ OS ต่างๆที่ราคาเหยียบหมื่น
แต่หาผ่อนไม่ได้เลย มันทำให้ผมคิดว่า นั่นแหละปัญหา ต่อให้เกิดจิตสำนึก
แต่ราคามันแพงเหลือเกิน อ้อ ปัญหาไม่ใช่แค่เกี่ยวกับราคาเท่านั้น
แต่ปัญหาหลักคือ “มันไม่คุ้ม” คำนี้เกิดเมื่อไรก็จะไม่ซื้อ ทำไมไม่คุ้ม นั่นเพราะ
คิดง่ายๆ คุณอยากจะซื้อไหมถ้าคุณฟังเพลงๆนึง แต่ต้องเสียเงินซื้อครั้งล่ะ 500
บาท
แค่เพลงเดียว และแน่นอนว่า มันฟังแปร๊บๆก็เบื่อ เหมือนกัน บางทีเกิดกรณี อยากซื้อ Photoshop
แต่ว่า
ราคาแพงต้องเก็บเงิน พอจะซื้อก็ล้าสมัยซะแล้ว (หรือมีเวอร์ชั่นใหม่)
ต้องเสียเงินอีก มันทำให้คนคิด ละเมิดเถอะง่ายกว่า ปัญหาความคุ้มค่า อาจจะสำคัญ มากที่สุดก็ได้นะ
สุดท้ายผมไม่เห็นด้วยกับปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์แต่กล้าบอกว่าเป็นคนนึงที่
ละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่ตอนนี้ก็ลดลงแล้ว และจะพยายามให้มันหมดไป
สาเหตุหลักเพราะ ช่องทางการขายมันหายาก และราคาแพง “ไม่คุ้มค่า” และอยากให้รณรงค์ต่อต้านสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ต่อไปครับ
แต่ไม่ใช่รณรงค์อย่างเดียว ควรรจะหาช่องทางด้วย ผมเห็นนว่าบ้านเรามัน “ปัญญาอ่อน”
เพราะปิดช่องทางเขา แต่ไม่ชี้ว่า ควรจะใช้ช่องทางไหนที่จะถูกและง่าย แถมคุ้มค่า
เป็นผมๆ จะบอกว่า ปิดเลยละเมิดลิขสิทธิ์ แต่จะบอกด้วยว่า เอ้า ซื้อที่นี่ถูกลิทธิ์
คุ้มค่า และง่าย แถมมีระบบรับผิดชอบที่ดี
อีกอย่างส่วนนึงที่ บ้านเราเป็นงี้ ต้องโทษผู้ใหญ่ที่ล้าหลัง
ไม่ทันสมัย คิดแต่เรื่อง เก่าๆ เต่าล้านปี คิดแต่ว่าจะจัดการเก็บให้หมดแต่ไม่หาทางให้เขาได้ทำในทางที่ถูก
คือ เอาง่ายๆ บ้านเราติดเรื่อง
ไม่คิดให้ครบ คิดให้จบ คิดแต่ง่ายๆ มันเลยกลายเป็นงี้
ปัญหาลิขสิทธิ์มันเลยแก้ไม่ได้สักที
วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
จิตวิญญาณผู้นำนวัตกรรม
วันนี้ดูข่าวนึง แล้วคิดว่าเศร้าใจมาก นั่นคือข่าวของบริษัทแอปเปิ้ล
ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทที่ผมคิดว่าเขาคือผู้นำนวัตกรรมไอทีบริษัทนึงกลับมีเริ่มมีความคิดไม่สร้างนวัตกรรมอีกต่อไป
เนื่องจาก ข่าวที่แอบเปิ้ลกำลังจะซื้อบริษัท Beats ซึ่งเป็นผู้ผลิตนวัตกรรมด้าน
หูฟังและลำโพงที่มีชื่อนั้น เริ่มส่งผลชัดเจนว่า แนวทางของ Apple เริ่มจะไม่ใช่ผู้นำนวัตกรรมอีกต่อไป
ถ้าคนติดตามข่าวจะรู้ว่า บริษัท Apple เริ่ม
ส่อแววหลังจากสตีฟ จ๊อบเสียไป เหมือนกับจิตวิญญาณนั้นได้ตายไปกับจ๊อบด้วย
ทำไมหรอ? คำตอบอยู่ที่ ตัว บริษัทเอง
เริ่มมีนวัตกรรมที่ถดถอยลง แต่สาวกบางคนอาจจะบอกว่าก็ยังมีออกมา
ใช่ที่ออกมาน่ะคือสินค้า แต่มันไม่ใช่นวัตกรรม บางคนอาจจะแย้งก็เป็นนวัตกรรมสิ
ไม่ใช่ตรงไหน มีหลายๆส่วนที่เป้นนวัตกรรมไม่ว่าจะเป็น Retina Display ที่มีเม็ดสีที่นำชาวบ้าน
iOS8 ที่กำลังจะออก iPad ฯลฯ แต่สังเกตไหม
แอปเปิ้ลเริ่มวนอยู่กับนวัตกรรมเดิมๆ สิ่งเดิมๆ SmartPhone,Tablet,
Notebook ,PC ไม่พ้นของพวกนี้สักที ซึ่งถ้าเป็นจ๊อบอยู่
ผมเชื่อว่าบางทีเราอาจจะไม่เห็น iPhone5 ที่เป็นอย่างทุกวันนี้หรือ iPad Air ผมเชื่อว่า
จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น อาจจะเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง เพราะจ๊อบเชื่อว่านวัตกรรมคือการเป็นผู้นำ
ฆ่าสินค้าตัวเองดีกว่าให้คนอื่นมาฆ่า สิ่งนี้แหละทีตอนนี้ Apple ไม่มี Apple
มัวแต่วนอยู่กับสิ่งที่บริษัทอื่นก็ทำได้
เช่น Smartphone , Tablet ใส่สิ่ง ที่ผมเรียกว่า Plugins ลงไป เช่น Siri ,Touch
Censor,Map แต่ว่ามันไม่ใช่นวัตกรรมใหม่ มันคือการรวมกัน แต่มันไม่ใช่ และล่าสุดยังมีข่าวการใส่กระจก
แซฟไฟล์ลงไป ที่ทนทานกว่า Gorilla Glass แต่ว่า ใส่ในไหน? Smartphone กับ Tablet
ซึ่งมันคือนวัตกรรมเดิมๆ
แต่ผลิตให้ดีขึ้น ทนขึ้น ตามยุคสมัย คำถามคือเกิดอะไรขึ้นกับ Apple ทำไมบริษัทนวัตกรรม
ชั้นนำของโลก ถึงหานวัตกรรมล้ำหน้าไม่เจออีกแล้ว ตอนนี้ทุกบริษัท เริ่มตามทัน
ไม่ว่าจะเป็น ไมโครซอฟท์ หรือ กูเกิ้ล หรือซัมซุง ทิ่เริ่มจะแซงแล้ว
สิ่งนี้น่าคิดมาก และน่าคิดด้วยว่าอาจจะเป็นตัวอย่างในบทเรียนอนาคตของนักศึกษาและผู้บริหารที่เจอ
เนื่องจาก บริษัทผู้นำนวัตกรรมที่ขาดนวัตกรรมย่อมหมายถึงสิ่งที่เป็นหายนะตามมา เริ่มจะไม่คิดเอง
แต่ซื้อสิทธิบัตร เริ่มจะจ้องฟ้องคนอื่นจากสิทธิบัตรที่ตัวเองมี
โดยไม่คิดเลยว่าตัวเองจะก้าวหน้ายังไง? นี่คือสิ่งที่น่ากลัวของบริษัท IT เลย
ไมโครซอฟท์เองก็เจอปัยหาเดียวกันมาก่อน จนตอนนี้เกือบจะเรียกว่าเป็นยักษ์ล้มแล้ว
แต่ว่าไมโครซอฟท์ก็เริ่มปรับตัว เริ่มหากินกับสิ่งใหม่ๆมากขึ้น
เริ่มหาช่องทางใหม่ๆ ที่คนอื่นตามไม่ทัน สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เริ่มจะปล่อย MS
Officeให้ข้ามแพลตฟอร์มออกไป เปลี่ยนเป็น Cloud Service มากขึ้น
เริ่มมีการรวมเป็นหนึ่งของแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะเป็น Bing , Cloud หรือ Windows
และเริ่มจะไม่ยึดติดว่า Windows คือรายได้หลัก
หันมาใช้ทางอื่นมากขึ้น ไมโครซอฟท์อาจจะไม่ใช่นวัตกรรม ทางด้าน Hardware ทีดี แต่ว่า
ต่อไปจะเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมทางด้าน Software ที่หลากหลายแน่นอน
โดยทิศทางชัดเจนขึ้นเมื่อ เริ่มขยายบริการตัวเองและให้ราคาที่เหมาะสมมากขึ้น โดยไม่แน่ถ้าไมโครซอฟท์คิดทัน
เราอาจจะเห็น Software ที่เป็น Smart ครอบคลุมไปทั่วอุปกรณ์ที่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น
หูฟัง ไมโครโฟน เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้า ที่เชื่อมต่อกันโดย OS
Windows ก็ได้ ซึ่งถ้าทำได้จริง
ไมโครซอฟท์จะกลายเป็นผู้ที่น่ากลัวอีกครั้ง แต่คู่แข่งก็ยังคงเป็น Google อยู่ดี
เนื่องจาก Google ยังมี Android ที่นำหน้ากวว่า 2 ก้าว
โดยข้อมูลจาก Search Engine ที่ครอบคลุมกว่าทั่วโลกและยังมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า
Bing กว่า 10 เท่า ไม่ว่าจะเป็น Translate,Map ล้วนแต่เป็น
สิ่งที่มีประสิทธิภาพ และนอกจากนี้ยังมี พันธ์มิตรยักษ์ใหญ่อย่างซัมซุง
ที่น่ากลัวมาก ทางเดียวคือไมโครซออฟท์ต้องจับมือกับยักษ์ใหญ่รายอื่นๆไม่ว่าจะเป็น Lenovo,Acer,Dell
หรือแหวกแนวอย่างผู้ผลิตน้ำขวดหรือกระเป๋า
อย่างหลุย เพื่อจะหาทางเป็นนวัตกรรมใหม่ๆเป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)