วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

iPhone6 Plus + Apple Watch อาวุธใหม่ที่ทรงพลังของ Apple

หลังจาก Apple เปิดตัว iPhone6 เวอร์ชั่นออกมา พร้อมกับครั้งแรกที่มีปรากฎการณ์ออก iPhone พร้อมกันสองรุ่น นั่นคือ iPhone6 และ iPhone6 Plus ที่หน้าจอใหญ่ขึ้น ซึ่งจากตรงนี้เองถือเป็นอาวุธใหม่อันทรงพลังของ Apple แต่ไม่แค่นั้น ยังมีการออก Apple Watch ออกมาอีก แม้จะช้าแต่ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

การออก iPhone6 Plus และ Apple Watch ครั้งนี้สะท้อนแนวทางชัดเจนอย่างมากว่า Apple เองก็ไม่ได้นิ่งกับโลกที่กำลังเคลื่อนไหวโดยทิ้ง Apple ไว้เบื้่องหลัง จึงมีการปรับตัวโดยการทำ iPhone6 Plus ที่มีหน้าจอใหญ่ใกล้เคียงกับ Phablet ออกมา พร้อมกับยังมีฟังก์ชัน NFC แม้จะใช้ได้แค่ Apple Pay อย่างเดียวแต่ก็สะท้อนว่า Apple ก็ทำตามโลกเช่นกัน แต่แน่นอนว่า Apple ยังคงสไตล์ของเขานั่นคือการที่คิดมาให้ผู้ใช้เรียบร้อยแล้วว่าจะต้องใช้ยังไง ซึ่งถือเป็นจุดขายของ Apple เลยทีเดียว

iPhone6Plus ครั้งนี้อาจจะไม่ถือว่าหวือหวา แต่หลายๆคนที่มี Review ก็เริ่มบอกว่ามันคือการต่อยอดจาก iPhone5 ที่สมบูรณ์แบบ แม้จะไม่ Wow แต่ครบซึ่งก็ถือเป็นก้าวเล็กๆในการออกอาวุธของ Apple แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ Device ใหม่นั่นคือ Apple Watch ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกของ Smart Watch ของ Apple เลยและก็ยังคงคอนเซ็บที่ Experience ดีสุดยอดนั่นคือ การทำการบ้านอย่างดีสำหรับผู้ใช้นาฬิกา ทำให้แบ่ง Edition ออกเป็น 3 สายนาฬิกา 6 แบบ พร้อมกับหน้าจอ 2 ขนาด ซึ่งทำให้ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้ครอบคลุมตลาดมากขึ้น แน่นอนว่าการเปิดตัวครั้งนี้ สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้มากแต่ว่าก็ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ต่อไปว่า Apple Watch จะรอดหรือไม่ หรือต้องปรับตรงไหนก็ตามดูกัน (สามารถดูสเปค Apple Watch เพิมเติมได้ที่นี่)

แต่สิ่งสำคัญกว่านั่นคือหมากตานี้ของ Apple คือการพยายามจะเดินหน้าให้เหนือกว่าคู่แข่งที่สำคัญนั่นคือ Google ที่ตอนนี้เหมือนว่าแนวทางดีกว่ามาก แม้ Project Silver อาจจะล้มเหลวบ้าง(ดูเพิ่มเติมที่นี) แต่ทว่ากลับสามารถ Lunch โปรเจค Android One ออกมาได้เพื่อตีตลาดล่าง Feature Phone ให้ขาด นั่นหมายถึงการตลาดของ Google เริ่มรุกตลาด Smart Phone ของ Microsoft(Nokia) มากขึ้นเพื่อเปลี่ยนผู้ใช้ฟีเจอร์โฟนทั้งหมดให้กลายเป็นของ Google ให้ได้ ทำให้ไมโครซอฟท์ต้องเริ่มตีโต้บ้างแล้วแต่ทาง Microsoft เองก็ยังคงเฉย นั่นจึงกลายเป็นโอกาสอย่างดีของ Google เลยทีเดียว

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

Comfort Zone? กับเหตุผลที่ว่าทำไมต้องออกจาก Comfort Zone?

Comfort Zone หลายๆคนคงเคยได้ยินคำนี้ คำนีๆคือจุดปลอดภัยหรือ สภาวะที่เรียกว่า ความเสี่ยงต่ำนั่นเอง  แล้ว Comfort Zone มันไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงต้องออกจาก Comfort Zone  สาเหตุนั้นจะขอตอบดังนี้

1. ทำให้เราเจอทางใหม่ๆ การออกจาก Comfort Zone จะทำให้เราเจอในสิ่งที่เราไม่เคยเจอ และได้เริ่มต้นกับสิ่งใหม่ๆ หนทางใหม่ๆ และความก้าวหน้าใหม่ๆ
2. ทำให้เราไม่กลัวที่จะเริ่มต้น การเริ่มต้นหลายคนมักร้องยี้ แต่ว่านักธุรกิจหลายๆคน ที่ประสบความสำเร็จมักจะกล้าที่เริ่มต้นใหม่เสมอ สาเหตุเพราะการอยู่แต่ใน Comfort zone ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีเสมอไป มีแต่เท่าเดิมกับต่ำลง แต่ไม่ได้ดีขึ้น นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้องกล้าที่ะก้าวออกจากจุดเดิมๆ ที่เคยทำมาเพื่อทำสถิติใหม่เสมอ
3. ทำให้เรามีนิสัยขยัน  Comfort Zone จะทำให้เรารู้สึกสบายและไร้ความเสี่ยงแต่ทว่า การไร้ความเสี่ยงนี่เองก็ทำให้เราขี้เกียจ ทำแต่เดิมๆซ้ำๆ จนชินและไม่อยากจะทำอะไรใหม่ๆ การออกจาก Comfort Zone จะทำให้เราพบหนทางใหม่ๆ ขยันที่จะเจอสิ่งใหม่ๆ และโอกาสใหม่ๆ
4. ทำให้เจอหนทางก้าวหน้าในชีวิต เพราะการก้าวออกจากจุดเดิมทำให้เกิดความเสี่ยงใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ จนทำให้เรากล้ามากขึ้น และก้าวหน้าขึ้นนั่นเอง

Ref : http://www.i8design.net/Article/Detail?art_id=4

ITGuy

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

ASP.net Tip # Dynamic Method WEB API 2



Config ให้ Dynamic สำหรับ Develop With Asp.net WEP Api
Note** ใช้งาน Asp.net WEB API2 and .net framework 4.5
ให้เพิ่มโค้ดนี้ลงไปที่ WebApiConfig.cs
            config.Routes.MapHttpRoute("DefaultApiWithId", "api/{controller}/{id}", new { id = RouteParameter.Optional }, new { id = @"\d+" });
            config.Routes.MapHttpRoute("DefaultApiWithAction", "api/{controller}/{action}");
            config.Routes.MapHttpRoute("DefaultApiGet", "api/{controller}", new { action = "Get" }, new { httpMethod = new HttpMethodConstraint(HttpMethod.Get) });
            config.Routes.MapHttpRoute("DefaultApiPost", "api/{controller}", new { action = "Post" }, new { httpMethod = new HttpMethodConstraint(HttpMethod.Post) });
พร้อมกับ Comment Config เดิมที่ให้มา
  //config.Routes.MapHttpRoute(
            //    name: "DefaultApi",
            //    routeTemplate: "api/{controller}/{id}",
            //    defaults: new { id = RouteParameter.Optional }
            //);
แค่นี้ก็เรียบร้อย ตัวอย่างโค้ด
public class ProductController : ApiController
    {
        PD1[] products = new PD1[]
        {
            new PD1 {ID= 1, A_PDNAME = "Tomato Soup", A_PDDESC = "Groceries"},
            new PD1 { ID = 2, A_PDNAME = "Yo-yo", A_PDDESC = "Toys" },
            new PD1 { ID = 3, A_PDNAME = "Hammer", A_PDDESC = "Hardware"}
        };

        // GET api/Product       
public IEnumerable<PD1> Get()
        {
            return products;
        }

        // GET api/ Product/5
        public PD1 Get(int id)
        {
            return products.Where(c => c.ID == id).FirstOrDefault();
        }
// GET api/ Product?id=aa &name=??
        public PD1 Get(int id, string name)
        {
            return products.Where(c => c.ID == id && c.A_PDNAME.Contains(name)).FirstOrDefault();
        }
// GET api/ Product/GetByname? name=??

        public IEnumerable<PD1> GetByName(string name)
        {
            return products.ToList();
        }

    }

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Blue Ocean ทะเลสีน้ำเงิน

คำว่า Blue Ocean เป็นศัพท์ที่ไม่ใหม่เท่าไรและใครหลายคนคงเคยได้ยินกันมาบ้าง ผมจะมาอธิบายคำว่า Blue Ocean ในความรู้ของผมนะครับ
Blue Ocean ทะเลสีน้ำเงิน ในความหมายทางการตลาดมันคือการบุกเบิกหาสิ่งใหม่ๆตลาดใหม่ๆเพื่อลดการแข่งขันที่ดุเดือนใน Red Ocean หรือทะเลแดง ทำไมถึงเกิด Blue Ocean เพราะว่า Blue Ocean คือ "ทางออก" นั่นเอง Red Ocean คือทะเลแดง หมายถึงตลาดที่มีการแข่งขันสูง ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาเกิดขึ้น(War Price) ผลก็คือทำให้กำไรที่เคยทำได้ดีในตลาดลดลงและต้องพยายามสร้างการแข่งขันให้ดีกว่าคู่แข่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่กำไรเริ่มสวนทางลง ซึ่งการเกิด Red Ocean นี้จะเกิดกับตลาดที่ใกล้อิ่มตัวจนถึง อิ่มตัวสุงสุดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ตลาดมือถือ Feature Phone ในอดีตที่การแข่งขันสูงมากๆ จนกลายเป็นราคาต่ำสุดอยู่ที่ เครื่องล่ะไมม่เกิน 900 บาท ส่งผลให้ผู้เล่นรายใหญ่ๆ ทยอยล้อมหายตายจากลงไปบ้าง และก็เกิด Blue Ocean ขึ้นก็คือ Smart Phone นั่นเอง

การทำ Blue Ocean ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะปัจจัยบางอย่าง นั่นคือ นวัตกรรม หรือแนวคิดใหม่ ที่จะทำให้เกิด Blue Ocean ขึ้น Blue Ocean เมื่อเกิดแล้วหากมีการเติบโตไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็น Red Ocean ในที่สุด
ปัจจุบัน แม้ตลาด SmartPhone และ Tablet ยังไม่เกิดเป็น Red Ocean แต่ว่าสภาพก็ใกล้เคียงแล้วเพราะคู่แข่งเริ่มเยอะ และตลาดก็ใกล้จุดอิ่มตัวเต็มที ฉะนั้นเมื่อไรที่เกิด Blue Ocean เมื่อนั้นก็จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นอีกนั่นเอง

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

CSR(Corporate Responsibility) ใครว่าไม่สำคัญ?

Corporate Responsibility คือ หมายถึง ความรับผิดชอบต่อสังคมและ
สิ่งแวดล้อมขององค์กร ซึ่งคือการดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดี
โดยรับผิดชอบสังคมและสิ่งเเวดล้อมทั้งในระดับไกลและใกล้ อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Credit : http://www.csrcom.com//)

ความรับผิดชอบตรงนี้เอง ก็เหมือนก้ำกึ่งระหว่างโฆษณาทางการตลาดอย่างหนึ่งกับการทำเผื่อสังคมอย่างแท้จริง การทำกิจกรรม CSR หลายๆบริษัทก็ทำเพื่อตอบแทนสังคม แต่ว่าอาจจะไม่ได้รับการจับตามองจากสื่อเท่าที่ควรนัก เช่น การทำส่งเสริมกีฬาของเบียร์สิงค์ เป็นต้น
การทำกิจกรรม CSR นั้น จำเป็นจะต้องวางแผนมาก่อนไม่ใช่แค่ทำเพื่อสังคมอย่างเดียวแต่จำเป็นจะต้องมีการวางแผน เพื่อรับกับกระแสตอบรับที่เกิดขึ้นด้วย หนึ่งในกระแสตอนนี้ที่เป็น CSR นั่นก็คือ #IceBacketChallenge ที่เป็นกระแสสังคมโดยการราดน้ำเย็นใส่ตัวเองและท้าคนต่อมา โดยผู้ไม่รับก็ทำการบริจาคเพื่อช่วยเหลือในการรักษาโรค ALS ตอนนี้เป้นกระแสโด่งดังในหมู่ดาราและเซเลบมากมาย
ทีนี้มาถามทำไมต้องทำ CSR?
1) เพื่อให้เกิดการตอบแทนต่อสังคม การรับผิดชอบและตอบแทนต่อสังคมคือ Concept ของ CSR อยู่แล้วแต่สาเหตุที่ต้องตอบแทนสังคมเป็นเพราะว่า สังคมนั้นเมื่อมีการใช้ และต้องมีการคืนเพื่อให้เกิดการหมุนเวียน บริษัทต่างๆ มีการใช้ทรัพยากรของสังคมไปมากมายแต่ไม่มีการตอบแทนคืนต่อสังคม เมื่อใช้นานๆเข้าก็หมดในที่สุดและทำให้บริษัทเองก็ล้มไปด้วย ฉะนั้นการตอบแทนสังคมเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนจึงจำเป็นอย่างมาก
2) เพื่อความมั่นคงของบริษัท CSR ภายนอกคือการทำนโยบายเพื่อตอบแทนสังคม แน่นอนว่าปัจจุบันมีสือ่เข้ามาช่วยโปรโมทมากมาย ทำให้สังคมเกิดเป็น Viral ออกไป ย่อมตามมาซึ่งหน้าตาและชื่อเสียงของบริษัท ฉะนั้นจึงเป็นการทำให้เกิด Aware ของบริษัทได้เลยทีเดียว

สองสาเหตุนี้คือสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิด CSR ในปัจจุบัน ผมเองก็รณรงค์ให้เกิด CSR เช่นกัน แต่ CSR นั้นไม่จำเป็นจะต้องออกสื่อเท่านั้น แต่ยังทำโดยไม่ออกสื่อได้หลายทางเช่น การดูแลพนักงานให้เกิดธรรมภิบาล การเอาใส่ใจ หรือ โรงงานที่ทำการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แม่น้ำลำคลอง เป็นต้น

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

One Windows !!!

หลายคนคงรู้จักกับ Windows และมีประสบการณ์ที่ทั้งดีและไม่ดีทั้งหลายปนกันไป Windows เกิดจากบริษัท Microsoft  มีประวัติศาสตร์ยาวนานก่อตั้งมาหลัง Apple เล็กน้อย แต่ทว่าความสำเร็จไม่น้อยหน้ากันเท่าไร วันนี้เดินหน้ามาถึงคำว่า One Windows จะเป็นเช่นไร และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญจะเป้นยังไงเชิญติดตามกันที่นี่เลยครับ
https://www.blognone.com/node/59429

นายไอที

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สถิติการใช้ SmartPhone ของคนไทย

คนไทยกับสมาร์ทโฟนดูเหมือนจะเป็นของคู่กันซะแล้วเมื่อมีการสำรวจออกมาว่าคนไทยติดมือถือมากที่สุดในโลก กับล่าสุดก็มีการทำสถิติออกมาเป็น Infographic ให้เห็นอีกว่าคนไทยซื้อของมือถือเป็นจำนวนเงินมากถึง 4000 บาทต่อครั้งเลยทีเดียว นับเป็นตัวเลขที่น่าคิดสำหรับการทำตลาดออนไลน์มากเลย

Credit :Positioningmag.com

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

CPU แต่ล่ะ Core เป็นยังไง? แตกต่างยังไงมาดูกัน

วันนี้ได้เห็นบทความที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่อยากรู้ว่าอะไรคือ Core ของ CPU กัน ยุคนี้สมาร์ทโฟนแข่งสเปกกันมากมาย หลายเจ้าอวด CPU Quad core, Dual Core มันเป็นยังไงกัน? วันนี้มีบทความง่ายๆมาให้ดูกันครับ

GOTO : http://news.siamphone.com/news-14863.html

จริงๆแล้ว CPU คือการประมวลผล ยิ่ง CPU ที่มีความแรงและการประมวลผลจำนวนรอบเร็วๆก็จะทำให้ประมวลผลในการใช้ App ดีขึ้นถ้าพูดภาษาคนทั่วไปคือ มันยิ่งประมวลผลเร็วและทำให้เล่น เกมหรือเปิดเว็บเร็วขึ้นครับ แต่ว่า ทั้งนี้ขึ้นกับสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมานะครับเพราะบางทีการที่มี Core เยอะๆ เช่น 8 Core ไม่ได้หมายความว่าจะเร็วกว่า 4 Core เสมอไป เพราะบางทีผู้ออกแบบอาจจะมีแนวคิดที่ว่าแบ่งการทำงานออกเป็น 4 -4 นั่นหมายถึง ทำงานทีล่ะ 4 Core อีก 4 Core ผลัดไปประมวลผลอย่างอื่นครับ

ปัญหาเทคโนโลยีกับการศึกษา

คงปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่าระบบการเรียนของประเทศไทยปัจจุบัน เรียนยังไง 10 ปีผ่านไปก็ยังเหมือนเดิม แม้จะมีการใช้ Tablet เข้ามาช่วยแต่ว่า บรรดาครูผู้สอนเองก็ไมไ่ด้ Active ตัวเองตามเทคโนโลยีด้วย กลับมองว่ามันถ่วงการสอนอีกต่างหาก ซึ่งข้อนี้เองทำเอาระบบการศึกษาบ้านเราเองยังคงไม่ไปไหนเท่าไร

เทคโนโลยีมีบทบาทกับทุกระบบธุรกิจ ปฏฺิเสธไมไ่ด้เลยว่าการมีเทคโนโลยีทำให้บ้านเมืองและการทำธุรกิจคล่องตัวขึ้น แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องตามมากันคือ การเรียนรู้(Know-how) ซึ่งจะต้องมีการลงทุนทรัพยากรทางด้านเวลาในการเรียนรู้ตามมาเรียกว่า Learning Curve ถ้าเวลาในการเรียนรู้สั้นย่อมมีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างมากมาย ซึ่งในด้านการศึกษาเองก็เริ่มมีบทบาทมาก เช่น Tablet สำหรับการเรียนการสอนแทนหนังสือ หรือ โปรแกรมจำพวกสอนออนไลน์ โดยอาจาร์ยหรือนักศึกษาไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน แต่ว่าสิ่งพวกนี้กลับไม่ได้ผลนัก ทำไม? ผมจึงลองไล่ๆ คิดๆ ดูแล้วเลยคิดว่าสาเหตุมันน่าจะมีดังนี้

  1. คนทำงานมานานย่อม ไม่อยากเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะไปกระตุ้นให้ชีวิตต้องเกิดการเรียนรู้ใหม่ คนที่ทำงานมานานจนอยู่ตัว เช่น ผู้ที่ทำงานจำนวน 30-40 ปี เมื่อเจอโลกยุคอินเตอร์เน็ต ที่ต้องเรียนรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ทำให้ คนที่ทำงานมานานตามไม่ทันและไม่อยากเรียนรู้ใหม่ 
  2. ความไม่แน่นอนในการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานหรือการศึกษาต้องมีการเรียนรู้เกิดขึ้นทำให้เกิดการแข่งขันใหม่ และบทบาทตัวเองอาจจะถูกลดบทบาทลงก็เป็นได้
  3. นักเรียนในห้องเรียนไร้ระเบียบ ซึ่งการไร้ระเบียบนี้ปกติก็ยากต่อการควบคุมเวลาเรียนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อไม่ต้องมีอาจาร์ยคุมสอนในห้อง มีแต่หน้าจอ ยิ่งทำให้ไม่ตั้งใจเรียนมากยิ่งขึ้น
  4. สถานศึกษาไม่อยากทุ่มงบประมาณในการใช้เทคโนโลยี สืบเนื่องจากปัญหาข้อ 1 และ 2 และบุคลากรที่ทำงานมานาน ไม่ได้มีการ Active เปลี่ยนแปลงมานาน ทำให้คนไม่อยากเรียนรู้ใหม่
  5. เทคโนโลยีเก่าก็มีอยู่ เช่น PC ที่ใช้มานาน ซึ่งกการลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงไม่อยากเสียใหม่
  6. ความไม่เชื่อในการศึกษาแบบออนไลน์ การศึกษาแบบออนไลน์ยังไม่สามารพิสูจน์ได้ว่ามีประสิทธิภาพเท่ากับการศึกษาปกติ ทำให้คนยังไม่เชื่อถือมากนัก
จากสาเหตุทั้ง 6 นี้ ปัญหาหลักๆคือ บุคลากรและนักเรียน ไม่ให้ความร่วมมือในการเรียนแบบไม่ใช้ห้องหรือเทคโนโลยีเรียนออนไลน์นั่นเอง การศึกษาไทยจำเป็นจะต้องพัฒนาอีกมากนักเรียน/นักศึกษาไทยยังคงไร้ระเบียบและไม่ขยัน ทำให้การศึกษาแม้จะมีเทคโนโลยีเข้าช่วยแต่เมื่อ ไร้ระเบียบทำให้การศึกษาไม่ได้ผลและเด็กไทยก็ไม่ชอบการเรียน ข้อนี้เองที่เป็นปัญหาทำให้การศึกษากับเทคโนโลยียังไม่ไปไหนเลย

นายไอที

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

PC ยังไม่ตาย !!!!

หลังจากมีอุปกรณ์ Smart Device มากมายที่ออกมาในช่วง 2-3 ปีนี้ เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วขึ้นมากไม่ว่าจะเป็น Smart Phone, Tablet, Smart Wearable และ กำลังจะมี Smart Car ตามมา แต่เชื่อไหมอุปกรณ์ที่เริ่มต้นอย่าง PC นั้นจะยังไม่ตาย ทำไมน่ะหรอ? สาเหตุผมจะอธิบายให้เห็น ดังนี้นะครับ

PC ในทีนี้รวมถึง NB ด้วยนะครับ

1) PC มีความสามารถที่สุงกว่า Smart Device ทั้งหมด ความสามารถในทีนี้คือความแรงของเครื่องและการใช้งาน โดย PC สามารถใช้งานหนักๆ เปิดเครื่องได้นานและมีความจุของอุปกรณ์ที่มากทำให้ การทำหลายๆ ที่ยังคงต้องใช้ PC เป็นหลักอยู่ดี

2) เกมบน PC มีกราฟฟิกสวยงามและเอื้อนักพัฒนา ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อนึงที่เกื้อหนุน PC อยู่สาเหตุเพราะการเล่นเกมหนักๆที่มีการประมวลผลสูงๆ ยังเอื้อต่ออุปกรณ์ PC อยู่มาก แม้จะน้อยลงแต่ว่าตลาดเกมบน PC กลับไม่ได้กระทบเท่าไรนักเนื่องจากนักเล่นเกมมือโปรก็ยังเล่นเกมหนักๆบน PC ไม่เปลี่ยนไม่ว่าเทรนเทคโนโยโลยีจะออกเพิ่มเติมยังไง

3) กราฟฟิกประมวลผล ตัดต่อหนัง/วีดีโอ ยังไงก็ต้องพึ่ง PC เพราะการ์ดจอที่มีการแสดงผลและการประมวลผลอย่างรวดเร็วทางที่ดีที่สุดก็ยังหนีไม่พ้น PC อยู่ดี

4) Developer ยังไงก็หนีไม่พ้น PC สาเหตุเพราะว่า นักพัฒนาต้องการเครื่องที่มีกำลังสูงและหน้าจอที่ใหญ่ และการใช้เมาส์ พ้อยที่แม่นยำ การใช้ Touchscreen และการพัฒนาบน Tablet คงจะไม่เอื้อเท่าไรนัก

5) การใช้งาน Office เช่นการประชุม Conference ยังไงก็ต้องพึ่ง PC อยู่ สาเหตุเพราะการประมวลผลและ Internet ประจำสถานที่/บ้าน ยังเร็วกว่า Internet ประเภท 3G,4G และต้นทุนต่ำมาก การใช้ Conference บน PC ผ่าน Skype หรือ Hangout ก็ถือเป็นจุดขายที่ดีกว่านั่งมองผ่านจอเล็กๆ การประมวลผลที่เร็วกว่าย่อมทำให้การสื่อสารไม่พลาดได้

6) เครื่องปริ๊น PC มีการเข้าถึงเครื่องพิมพ์ที่หลากหลายกว่า อุปกรณ์ Smart Device หลายชิ้นยังคงใช้พิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์ไม่ได้แต่ PC มีการรองรับที่เพียบพร้อมไว้แล้ว ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นจุดที่ทำให้ PC ยังคงอยู่ต่อไป

7) การพิมพ์และการใช้เมาส์ ปฏิเสธไมไ่ด้เลยว่าการพิมพืและการใช้ Mouse เป็นจุดสำคัญของการใช้งาน PC แม้หลายคนจะบอกมันล้าสมัยไปแล้ว แต่ลองนึกๆดู การพิมพ์บนคีย์บอร์ดยังไงก็เร็วกกว่าการพิมพ์ผ่านหน้าจอเล็กๆ แน่นอน พร้อมกับการใช้เมาส์ก็ยังทำงานได้หลากหลายกว่าการใช้ Touchcscreen ด้วย ฉะนั้นหากยังไม่มีเทคโนโลยีในการทดแทน Mouse และ Keyboard ละก็คงยากแน่นอน

8) Server ที่ยังใช้อุปกรณ์ของ PC ซึ่งนี่ก็เป็นข้อนึงที่ยังไงก็เอื้อมากกว่า สำหรับ PC โดยเฉพาะเลยเนื่องจากต้นทุนที่สูง และค่าใช้จ่ายที่สูงการประมวลผลที่เร็ว จึงจะต้องใช้ PC ต่อไป บางคนสามารถใช้ PC เป็น Server ได้เลยทีเดียว

อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด PC ยังไม่ตายแน่นอน เพียงแต่เทรนต่างๆที่สื่อประโคมเข้ามาทำให้คิดว่ามันเริ่มตายจากไปแต่มันผิด เพราะมันแค่ลดลงเนื่องจากมีอุปกรณ์บางอย่างมาทำงานแทนมันในบางฟังก์ชันที่มันด้อยลงเช่น การพกพาไปในทุกสถานที่ การเช็คอีเมล์หรืออ่านข่าวหรือการแชท แต่ข้อดีของ PC ก็ยังหนีไม่พ้นอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผล การพิมพ์การใช้เมาส์หรือการทำงานด้านกราฟฟิก งานหนักๆอย่างนี้ยังไงก็หนีไม่พ้น PC อยู่ดี จึงกล้าบอกว่ามันยังไม่ตายแน่นอนตราบใดที่ยังต้องการอยู่ ขณะเดียวกัน ราคาPC ก็จะสูงขึ้นด้วยตามหลัก Demand / Supply เพราะ Demand ต่ำลง การผลิตก็น้อยลงแต่อยู่ตัวมากยิ่งขึ้น ผู้ผลิตรายเล็กๆลดลง เหลือแต่รายใหญ่เท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Lenovo นั่นเองที่ทำกำไรจาก PC ได้อยู่ ฉะนั้นอย่าเพิ่งมอง PC เป็นของล้าหลังตราบใดที่เราขาดมันไม่ได้ แต่ขอให้มองให้ออกว่า มันใช้งานอะไรเหมาะกับเราตรงไหน แล้วจะทำให้สามารถเลือกใช้ได้ถูกต้อง

นายไอที

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 5

Samsung บริษัทยักษ์ ทางด้าน Electronic ในนามของบริษัท Samsung Electronics จำกัด บริษัทซัมซุงมีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลีใต้โดยครั้งแรกไม่ได้เน้นทางด้าน Electronic เท่าไร แต่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น บริษัทจึงได้มีแบ่งส่วนออกมา และต่อมา Samsung Electronic จึงเกิดขึ้น ปัจจุบัน Samsung ไม่ได้จำกัดแค่ส่วนของอุปกรณ์ IT เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น

Samsung เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ Android ซึ่งกินตลาด Android มากที่สุดในโลก ทั้งนี้เริ่มต้นนั้นซัมซุงได้ผลิตมือถือเพื่อแข่งขันกับ Nokia โดยทั่วไป แต่ต่อมาเมื่อ Android เกิดขึ้น ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล จึงได้รีบเข้ามาใน Android ทันที โดยเริ่มต้นมีบริษัทคู่แข่งมากมายทั้ง HTC, Sony, Motorolla ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น แต่ Samsung ก็สามารถพิสูจน์ถึงหนทาง แห่งผู้นำและสามารถพลิกมาเป็นผู้นำในที่สุด

กลยุทธ์ที่ซัมซุงใช้ในการแข่งขันของตลาด SmartDevice นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยนั่นคือกลยุทธ์ เดียวกับของ Nokia ในอดีตนั่นเอง แต่ทว่าซัมซุงมีการเพิ่มเติมเข้าไปอีกเล็กน้อย
1) กลยุทธ์ตามสถานการณ์
ซังซุงเป็นบริษัทที่ปรับตัวเร็วมาก กลยุทธ์อย่างแรกของซัมซุงคือการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ให้ทัน ดังนั้นตอนออกมาช่วง SmartPhone ช่วงแรกที่ Apple ยังคงเป็นราชาอยู่นั้น Samsung ก็เป็นแค่ผู้ตามที่ดี โดยพยายามศึกษาและดูข้อมูลของ Apple อยู่ตลอด และพยายามออกผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับที่ตลาดขายได้ออกมา ซึ่งนั่นคือ Samsung Galaxy S1 นั่นเอง

2) กลยุทธ์ขยายตลาด
เมื่อซัมซุงได้ตามสถานการณ์ทันแล้ว สิ่งที่ซัมซุงทำต่อนั่นคือ การใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองที่มี โดยซัมซุงเป็นOEM ที่ผลิตชิ้นส่วนของอุปกรณ์ SmartPhone ให้กับเจ้าต่างๆอยู่แล้ว จึงดึงข้อได้เปรียบของตัวเองมาและใส่ตัวเองเข้าไป ทำการขยายตลาดขึ้นเมื่อออก S1 ออกมาก็ทำการออก S2 ออกมาเพื่อลองตลาดผู้บริโภคให้มากขึ้น เมื่อลองตลาดแล้ว ยังไม่หยุด จึงมีการออก Android เวอร์ชั่น ที่ราคาโดนใจผู้บริโภคออกมาด้วย โดยเป็น Android ราคาต่ำนั่นเอง การออกพวกนี้ออกมาทำให้ Samsung ได้จับตลาดถูกว่า มือถือต้นทุนต่ำสามารถขายได้ดีกว่า มือถือราคาแพง แต่ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีส่วนหนึ่งทีต้องการมือถือราคาแพงเช่นกัน Samsung จึงทำการแบ่งตลาดและซอยรุ่นต่างๆ ออกมาให้เข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น ตั้งแต่มือถือราคา 2000-3000 บาท จนถึง High-End เครื่องล่ะ 20000 Up ซึ่งการทำเช่นนนี้ทำให้การเข้าถึงผู้บริโภคมีโอกาสมากขึ้น แม้จะมีบางรุ่นที่ขายไม่ดี แต่แบรนก็ติดตลาดเรียบร้อยแล้ว

3) กลยุทธ์ผู้นำนวัตกรรม
ก้าวต่อมาหลังจากขยายตลาด ทำให้สินค้าของตัวเองติดแบรนสำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว จึงเริ่มก้าวต่อมาในการเป็นผู้นำนวัตกรรม ตัวอย่างคือ SS Galaxy Note เป็น Phablet ตัวแรกในวงการออกมา แม้ตอนแรกจะดูเหมือนแป๊กก็ตามที แต่นับเป็นก้าวแรกของนวัตกรรมใหม่ จากนั้นยังมี การรวมสองนวัตกรรมนั่นคือกล้องถ่ายรูป Compact กับ มือถือเข้ามานั่นคือ SS Galaxy Zoom ที่สามารถ่ายรูปได้ชัดเจนมากขึ้น นับเป็นการก้าวแห่งนวัตกรรมมากเลยทีเดียว

4) กลยุทธ์กินส่วนแบ่งตัวเอง
กลยุทธ์นี้ผู้คิดคือ Apple แต่ว่า Samsung เองก็ประสบความสำเร็จด้วย การกินส่วนแบ่งตัวเองคืออะไร มันคือการออก Product ใหม่ให้ทับกับตลาดตัวเองโดยให้กินส่วนแบ่งที่ตัวเองมีอยู่เดิม ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้ส่วนแบ่งไม่ไปไหน ไม่พอ การออก Product ที่ถี่ขึ้น ยังทำให้เป็นการสร้าง Awareness อย่างดีเลยทีเดียว

5) กลยุทธ์ขยายธุรกิจ
ไม่หยุดแค่ มือถือ นั่นแหละคือ ซัมซุง ซัมซุงพยายามขยายออกไปหลายธุรกิจให้มากขึ้นตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์จนถึง ประกันชีวิตเลยทีเดียว การทำเช่นนี้เป็นการประกันความมั่นคงของบริษัทได้อย่างดี โดยข้อนี้ได้ตัวอย่างจาก Nokia ที่เน้นธุรกิจด้านเดียวจนทำให้บริษัท ล้มเหลวในที่สุด

นายไอที 

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 4

Android คือระบบปฏิบัติการมือถือที่เรียกได้ว่ามีประวัติอาจจะยาวนานกว่า iOS ของ iPhone เนื่องจาก Android นั้นแรกเริ่มเดิมทีก็มีต้นแบบมาจากการจะเป็นคู่แข่งกับ อดีตราชาแห่งมือถืออย่าง Nokia นั่นเอง

แรกเริ่มเดินที Android คือระบบปฏิบัติการที่จะใช้บนกล้องดิจิตอล แต่ตลาดที่หดตัวทำให้เปลี่ยนมาเป็นมือถือแทน ผู้ให้กำเนิดคือ Andy Rubin ครั้งแรกที่เขาให้กำเนิด Android ภายใตับริษัท แอนดรอย จำกัด ในรัฐแคลิฟอเนี่ย (อ่านเพิ่มเติมได้้ที่นี่) จากนั้นไม่นานก็ถูก Google Take Over ไป เมื่อ Google เทคโอเวอร์แอนดรอย์ไปแล้วหลังจากนั้นจึงปรับปรุงหน้าจอและ UI ให้ทันสมัยให้เข้ากับยุค SmartPhone มือถือรุ่นใหม่จากนั้น Google ก็ทำดำเนินกลยุทธ์ Opensource ตามแบบ Android ผลคือทำให้การปรับแต่งง่ายต่อนักพัฒนามาก และแต่ละเจ้าที่ใช้ Android สามารถเรียกจุดเด่นของตัวเองได้ จึงทำให้เรียกได้ว่า Android คลองโลกอยู่น่ะปัจจุบัน

กลยุทธ์ของ Google-Android
1) Opensource เรียกพันธมิตร
การเรียกพันธมิตรนี่เองที่เป็นกลยุทธ์หลัก ทำให้ Google ประสบผลสำเร็จจนปัจจุบัน เพราะการเปิด Opensource โดยไม่เก็บค่า License ของ OS ทำให้เกิดต้นทุนต่ำของผู้พันธมิตร และยังเปิด Source ให้เป็นการสร้างเอกลักษณ์ จุดเด่นเฉพาะตัวของ OEM แต่ละเจ้าอีก การทำเช่นนี้ทำให้ผุ้ผลิตชอบ Android มากขึ้นอีก จึงมี OEM หลายเจ้าเข้ามาใช้ Android ทันที ไม่ว่าจะเป็น Samsung ,HTC, Xiamoni ,Huawei,Sony เป็นต้น

2) รายได้รูปแบบใหม่ทางอ้อมจากโฆษณา
แม้ Android จะเป็น Opensource ที่เปิดให้ OEM แต่ละเจ้าได้ทำการใส่เอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปแต่คณะเดียวกัน ก็ยังมีการควบคู่บางอย่างไว้เพื่อให้เป็นรายได้ของ Google นั่นคือ การใส่ Google Play Service และ Advertise บน Free Application ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้ Google ได้รับรายได้มหาศาล แม้ผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นจะได้เงินด้วย แต่Google ก็ยังได้รายได้มหาศาลจากผู้ผลิตที่กระจาย Android ไปทั่วโลกสั่งผลให้ผลประกอบการ เพิ่มขึ้นๆทุกปีๆ จนแซงหน้า Apple

3) สนองความต้องการของคนในยุค 3G
วิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ Google ไมไ่ด้หยุดแค่ Search Engine แหล่งทำเงินหลักของ Google อีกต่อไป แต่ CEO ของ Google ยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เมื่อมี Android แล้ว และยุค 3G กำลังจะมาถึง ซึ่งอินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้ทุกคน หนึ่งสิ่งที่คนต้องการในยุค 3G เข้าถึงผู้คนนั้นคือ การบันเทิง นั่นเอง
หนึ่งสิ่งที่ Google คิดได้ถูกต้องมาโดยตลอดนั่นคือการสร้างความบันเทิง  Google เริ่มมีแนวชัดเจนในการเน้นการบันเทิงมากขึ้นเริ่มจากการที่ ซื้อYoutube ที่เป็นแหล่งรวมวีดีโอบันเทิงอันดับหนึ่งในโลก แม้ตอนเข้าซื้อจะยังมีคู่แข่งบ้างแต่นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ปัจจุบัน Youtube ได้แพร่หลายไปมากมาย คนทุกคนสามารถเข้าชม Youtube ผ่าน มือถือของตัวเอง ทำให้การซื้อ Youtube แม้มูลค่าจะสูงแต่เป็นการทำที่ถูกต้องที่สุด ต่อมาเมื่อมีแหล่งดูวีดีโอแล้ว ก็ยังต้องการพื้นที่ในการแชร์ความรู้สึกส่วนตัว ให้กับเพื่อนๆทุกคนได้ฟังอีกด้วย จึงทำการเปิด Google Plus ขึ้นมา แม้นี่จะไม่ใช่หนึ่งในแนวทางที่ Google ใช้แชร์ความรู้สึกให้กับคนอื่นๆ โดยก่อนหน้าก็จะมี blogger ของ Google อยู่แล้วแต่การมี Google Plus ขึ้นอีก Community หนึ่งนับว่าเป็นก้าวสำคัญของ Google ทีเดียว เมื่อมีการแชร์แล้วก็อยากมีการสนทนากันต่อจึงตามด้วย Google Hangout ทันที เมื่อถึงยุคนี้ จะทำให้เห็นว่า Google ครอบคลุม ไปเกือบทุกบริการที่คนต้องการเลย

4) การพัฒนาถี่และรวดเร็ว
เมื่อมีการคิดถึงบริการที่ครอบคลุมทั่วไปแล้ว Google ก็ยังรู้ดีว่าโลกนี้พัฒนาไปเร็วมาก จึงจะต้องไม่หยุดนิ่งทำให้การพัฒนารุ่นเร็วและถี่ ไม่ว่าจะเป็น Android 2.2,Android 2.4,Android 3.0 และล่าสุด Android 4.4 ล้วนแล้วแต่ระยะเวลาในการพัฒนาที่เร็วทั้งสิ้น เพื่อให้ก้าวหน้าเร็วกว่าคู่แข่งอย่างไม่หยุดยั้งนั่นเอง
การพัฒนาหลากหลายรุ่นและถี่ทำให้เกิดปัญหา Flagmention หรือความแตกต่างของรุ่นขึ้นกับมือถือ Android มากมาย แต่ปัญหานี้กลับไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อเจอกับราคาของ Android ที่ไม่สูงมาก ทำให้การเปลียนใช้มือถือแต่ละรุ่นไม่ใช่อุปสรรคเลย

5) Google Map & Translate ไม้ตายสำหรับอนาคต
วิสัยทัศน์ ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้สำหรับอินเตอร์เน็ตเข้าถึงทุกคน Map & Translate คือหนึ่งในอนาคตที่น่กลัวหนึ่งของ Google เพราะอะไร? อนาคตอินเตอร์เน็ตจะเข้าถึงรถและบ้านได้ ซึ่งการสั่งงานด้วยเสียงคือคีย์สำคัญในการใช้งานพวกนี้ การแปลงภาษาให้ใช้ได้ทุกภาษาทั่วโลกจากคำสั่งเสียง การมีแผนที่ๆ แม่นยำ จะทำให้เรียกความน่าเชื่อถือ และยังอาจจะเป็นต้นกำเนิดหลักของรถยนต์ไร้คนขับที่ดีอีกด้วย
Map แม้ปัจจุบันจะยังไม่ครอบคลุมทั่วโลกและยังไม่เชื่อมต่อกับ คำสั่งเสียงในการค้นหา แต่ต่อไปมันจะรวมกันบนรถยนต์ การทำเช่นนี้จะทำให้ Google เป็นผู้ให้บริการหลักของ ผู้ผลิตรถยนต์ทุกเจ้า เนื่องจากความพร้อมของเทคโนโลยีที่เตรียมพิชิตตั้งแต่ในมุ้ง

6) CSR Free Highspeed Internet
Google ไม่ใช่แต่บริษัทมุ่งค้ากำไรอย่างเดียว แต่ยังมีบริการ CSR เพื่อตอบสนอง คืนสู่ชุมชนด้วยนั่นคือการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Fiber optic)  บนห้องสมุดฟรี(ตอนนี้เริ่มต้นที่ Kansas City ) ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่

เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าวิสัยทัศน์ของ CEO Google Larry Page นั่นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ทั้งก้าวไกลและครอบคลุม เรียกได้ว่า ทั้งคุกคามและรุกไปพร้อมๆกัน การที่มีพันธมิตรจำนวนมากทำให้เป็นการคุกคาม คู่แข่งไปในตัวทำให้ตัวเองมีเวลาในการพัฒนา Product ตัวเองอย่างถึงขีดสุด ไม่ต้องทุ่มงบประมาณมากมายในการทวงสิทธิบัตรเพื่อคุกคามอย่าง Apple ขณะเดียวกันยังมีการเตรียมการให้ครอบคลุมทั่วทุกอย่าง ในยุค 3G อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงอีก เรียกว่า ก้าวไกลมากเลยทีเดียว ฉะนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน อนาคตเราอาจจะได้เห็น Google เป็นเจ้าโลกไปอีกนานหลายสิบปีและไม่แน่นวัตกรรมที่คาดไม่ถึง เช่น หุ่่น Drone ที่ตอนนี้อาจจะย้งไม่เป็นรูปร่าง อนาคตหากมันเป็นรูปร่างจริง อาจจะได้เห็นหุ่นยน Drone ขนส่งคนแทน รถยนต์ก็เป็นได้เนื่องจาก Drone มีข้อดีตรงที่ สามารถลอยบนอากาศได้ทำให้แก้ปัญหาทางด้าน ที่จอดลงไป พร้อมกับความฉลาดที่ สามารถกลับเข้าสู่ลานจอดได้เองและเรียกมารับได้ เราอาจจะเห็นผู้ที่ทำเช่นนี้ คือ Google ก็เป็นได้

นายไอที

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หมากตาเดียวพลาดทั้งกระดาน เป็นยังไง มีตัวอย่างครับ

หมากตาเดียวแพทั้งกระดาน การเดินหมากถือเป้นเรื่องของกลยุทธ์มาโดยตลอดตัั้งแต่โบราณ จนปัจจุบันสนามรบได้เปลี่ยนไปมาก จากเดิมรบด้วยกำลังเป็นการรบด้วยสนามธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ต้องมีกลยุทธ์ทั้งสิ้น ทัพไหนหรือบริษัทไหนที่เดินเกมพลาดย่อมแพ้พ่ายทั้งสิ้น คราวนี้ผมไปเจอตัวอย่างการแพ้พ่ายทางธุรกิจที่สำคัญของ "ยักษ์" ตัวนึงในวงการที่เคยชื่อว่าเป็นยักษ์ใหญ่มากเลยทีนั่นคือ Nokia นั่นเอง ยักษ์ตัวนี้เคยเป็นราชาแห่งมือถือได้เลย ช่วงตั้งแต่ปี 1980-2008 แทบจะเรียกได้ว่านั่นคือราชาอย่างแท้จริง แต่แล้วมันเพราะอะไร? ทำไมอยู่ๆยักษ์ตัวนี้ถึงล้มไม่เป็นท่าด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ตั้งแต่ปี 2008-2014 มันเกิดอะไรขึ้นกับ Nokia กัน แล้วมันเพราะอะไร? เชิญทุกท่านได้ติดตามไปยังบทวิเคราะห์ การเดินหมากที่ผิดพลาดทำให้แพ้ได้ที่นี่ Click

Credit : Blognone.com

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 3

หลังจากเรา วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาสและอุปสรรคของ Apple กันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า สินค้าของ Apple มีการวาง Position ไว้ที่จุดไหน โดย Position นั้น ใครว่าไม่สำคัญ? มันสำคัญมากเพราะจะได้กำหนดได้ว่า การตลาดที่เราต้องการนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์หรือไม่
ผมขอโฟกัสเฉพาะในประเทศไทยนะครับ(ประเทศอื่นไม่เห็นจริงๆ)

  • Age - ตามจริงจุดประสงค์ของ Apple เลยวาง Position นิ่งไว้ กับคนอายุตั้งแต่ป.ตรี - วัยทำงานทั่วไป โดยที่วางเช่นนี้เพราะ จุดประสงค์แรกเริ่มเลยคือการนำของที่ดีให้กับคน โดยของดีนั้นมีต้นทุนสูงอยู่แล้ว ข้อนี้ Apple ตระหนักดีทีเดียวว่า มันจำเป็นมาก ที่ต้องวางให้คนมีอายุที่มีรายได้ พอจะซื้อสินค้าตนได้
  • เพศ - ไม่จำกัด ทั้งหญิงและชาย นอกจากนี้ Apple ยังรวมคนพิการด้วย
  • ฐานะ - เน้นคนที่มีฐานะปานกลาง จนถึงร่ำรวย
  • ที่ตั้ง - ใจกลางเมือง หรือตามย่านศูนย์การค้าที่คนมีฐานะเดินพลุกพล่าน สังเกตให้ดี iStudio จะมีเฉพาะสาขาที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น และ Apple Store ยังเปิดเฉพาะประเทศที่ฐานะเศรษฐกิจดีอีกด้วย เช่น จีน,อเมริกาและยุโรป 
  • การค้า - เน้นการค้าจาก B2C เป็นหลัก โดยผ่านเอเย่นอย่าง iStudio และลงสู่ ลูกค้าโดยตรง
นี่เป็น Position ที่วิเคราะห์ให้เห็นถึงการวางตำแหน่งในการตลาดนะครับ 
 Past ต่อไปผมจะไปสู่ Google - Samsung แล้วครับ



วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 2

ตอน 2 นี้ยังอยู่ที่ Apple นะครับ คราวนี้ผมจะเจาะลึกเกี่ยวกับ SWOT ซึ่งเป็นพื้นฐานของธุรกิจ ของบริษัทบ้างนะครับ
SWOT คือ การวิเคราะห์สภาพการณ์ทั้งภายนอกและภายใน โดยแบ่งเป็น จุดแข็ง จุดอ่อน โอาส แลอุปสรรค
เริ่มด้วย

Strength - จุดแข็ง

  1. กำลังเงิน แอปเปิ้ลตอนนี้นับเป็นบริษัท IT ที่มีจุดแข็งทางด้านการเงินสูงมาก แอปเปิ้ลเป็นบริษัที่มีเงินสดในมือสูงมากตั้งแต่ยุคของสตีฟจ๊อป เคยเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหุ้นสูงที่สุดในตลาด IT ของสหรัฐมาแล้ว แม้ปัจจุบันจะตกลงมาบ้างแต่ก็ถือว่า สูงอันดับต้นๆ เป็นรองเพียง Google เท่านั้น
  2. กำลังคน เนื่องจากแอปเปิ้ลเป็นบริษัทใหญ่ ทำให้มีบุคลากรจำนวนมาก กำลังคนที่แอปเปิ้ลคัดเลือกล้วนแล้วแต่หัวกะทิทั้งสิ้น ด้านกำลังคนก็เป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของ Apple
  3. ดีไซน์ ต้องยอมรับว่าสินค้าของ Apple แต่ละชนิด ล้วนมีจุดดึงดูดทางด้านรูปแบบการดีไซน์ที่ดูหรูหรากว่าของเจ้าอื่น และด้วยความที่เป็นดีไซน์หรูหราน่าใช้นี่เอง ที่ Apple ใช้ในการโฆษณาตัวเองมาตลอด และยังผลักดันให้ตัวเองสู่แบรนพรีเมี่ยมอีกด้วย
  4. ระบบ Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ระบบ Ecosystem ที่แข็งแกร่งมาจากการสะสมสร้างประสบการณ์มาหลายสิปปีของ Apple โดยมีฐานผู้ใช้งานมากมาย ทำให้ มีนักพัฒนารองรับจำนวนมาก เมื่อคิดจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งใหม่ๆ ระบบ Ecosystem ที่แข็งแกร่งนี่เองที่ผลักดันให้ Apple กล้าที่จะออกสิ่งใหม่ๆ มาเรื่อยๆ
  5. ระบบปิด MAC OS และ iOS ระบบปิดถือเป็นจุดแข็งที่สุดของ Apple เพราะไม่เพียงแต่ Control Ecosystem ภายนอกได้เท่านั้น ยังสามารถควบคุมภายในได้ เช่น Application และการเชื่อมต่อไหลลื่นระหว่าง Device ด้วยกัน จุดนี้เองที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้เช่นเดียวกับ Apple เลย
  6. บริษัทแห่งนวัตกรรม แอปเปิ้ลมีจุดแข็งที่หลายคนชอบนั่นคือการที่หลายคนรอคอยการเปิดตัวในอุปกรณ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆล้ำโลกของ Apple และ Apple ก็สามารถตอบสนองได้อย่างดีโดยตลอด
Weak - จุดอ่อน
  1. ระบบ ปิด แม้จะระบบปิดจะถึงจุดแข็งที่ดี แต่มันก็มีจุดอ่อนด้วย ระบบปิดมันจะมีประโยชน์ในช่วงเวลาหนึ่งแต่เมื่อมันโตขึ้นเรื่อยๆ มันก็เป็นอุปสรรคด้วยเพราะ แต่เดิม อุปกรณ์ Apple มีจำนวนไม่มาก ด้วยจำนวนไม่มากชนิดทำให้ ระบบปิดมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเกิดอุปกรณ์มันมากตัวเข้า ถ้าไม่มีการทิ้งอุปกรณ์ออกไปจะกลายเป็นภาระซะเองเนื่องจาก ต้องมีค่าบำรุงรักษาจำนวนมาก เพื่อให้เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆที่ล้าสมัย ขณะเดียวกันสิ่งใหม่ๆก็ออกมาได้ช้ามาก 
  2. จำนวนแรงงานเยอะเกินไป ข้อนี้จะกลายเป็นปัญหาภายใน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการเติบโตขององค์กรที่ใหญ่โตขึ้นการทำงานจะกระจายมากขึ้น ระบบเก่าจะใช้ระบบ CEO เป็นหัวโดยตลอดแต่คราวนี้จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวขึ้นเพราะบริษัทใหญ่โต CEO ไม่สามารถรวมได้หมดต้องกระจายออก ผลที่ตามมาจะทำให้การออกผลิตภัณฑ์มีความล่าช้าลงไปด้วย แต่ข้อนี้อาจจะยังไม่เกิด เพราะอยู่ในช่วงเติบโตของบริษัท
  3. พันธิมิตรทางด้านการค้าต่างๆ น้อย ส่วนใหญ่จะกลืนเค้ามาแทนมากกกว่า การทำเช่นนี้ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นไปอีก
Opportunity - โอกาส
  1.  Ecosystem ที่แข็งแกร่งสามารถสร้างโอกาสได้เสมอ โดยการตลาดยิ่งหมุนไปเรื่อยๆ และตอนนี้คนเเริ่มหาสิ่งใหม่ๆให้กับชีวิต Smart Home,Smart Car คือโอกาสใหม่ที่จะเข้ามาหา Apple ด้วยกำลังเงินที่สูงและกำลังคนที่มาก และความน่าเชื่่อถือของแบรน Apple จึงเป้นบริษัทที่จะกลับมาเป็นเจ้าอีกครั้งหนึง
  2. เทคโนโลยีการชำระเงินมีความก้าวหน้ามากขึ้น Apple การชำระเงินง่ายขึ้น มีระบบผ่อนชำระ ทำให้การใช้สินค้าของ Apple ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอีกต่อไป
  3. คนไทยชอบใช้ Apple มาเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะผู้ใช้ระดับกลาง
  4. ดีไซน์ที่ล้ำยุคที่แฝงในสินค้าทุกประเภท พร้อมกับ กลยุทธ์ที่เน้นโดยตลอดนั่นคือการสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับสินค้า ทำให้ Apple ยังคงเป็นที่น่าสนใจสำหรับทุกๆคนเสมอ
Threat
  1. ราคาสูงทำให้ ไม่สามาถเข้าถึงผู้ "ส่วนมาก" ในโลก
  2. ระบบปิด ทำให้นักพัฒนาบางคนต้องส่ายหัว
  3. ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้น ใช้ของ Apple ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหรือ Ecosystem ยังสูงมากและของผิดลิขสิทธิ์ก็น้อย จึงต้องคิดถึงหลักในการพัฒนาใช้ของ Apple ให้ดีทีเดียว
  4. การใช้งานบางอย่างยังคงตามหลักคู่แข่ง เช่น การใช้งานคำสั่งเสียง,การใช้งาน NFC,การใช้งาน ฟีเจอร์ 3D ,กล้อง ,การสั่งออกปริ๊นเตอร์ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เท่าที่ผมเห็นนะคัรบว่า Apple มีจุดอ่อนจุดแข็งยังไงแต่ จุดแข็งเรามีประสิทธิภาพสูงกว่าจุดอ่อนมาก ซึ่งตอนนี้จุดอ่อนยังคงไม่เห็นผลแต่ทว่าต่อไปนานๆ ถ้าการตลาดยังไม่ดีขึ้น แอปเปิ้ลคงจะะเจอปัญหาแน่นอน




วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 1

สำหรับการตลาดช่วงนี้ ผู้ร้อนแรงในโลกไอทีคงไม่พ้น เจ้าใหญ่สองเจ้านั่นคื Apple และ Google(Samsung)  สองเจ้านี้ เกือบครองโลกเลยทีเดียว ซึ่ง Google จะได้เปรียบตรงที่ มี Samsung เจ้าใหญ่ที่เป็นรายใหญ่ของโลก Android เกือบทั่วโลกเลยทีเดียว
มาวิเคราะห์กลยุทธ์ของ สองเจ้ากัน

Apple 
สุดยอดบริษัทนวัตกรรมของโลก สู้มาตั้งแต่สมัย PC จนปัจจุบันถึง Smart Device ซึ่ง ล้มบ้างเป็นธรรมดา แต่จากประสบการณ์สั่งสมมานานปีและเป็นผู้ริเริ่ม นวัตกรรมต่างๆ ทำให้ยังคงมีอิทธิพลสูงในตลาดโลก ปัจจุบัน การตลาดของ Apple นับว่าประสบความสำเร็จสูงสุด ผมให้เขาสูงกว่า Samsung อีกด้วยซ้ำ นั่นเพราะอะไร
1) Apple สามารถขายสินค้าระดับ High End ได้ทั่วโลก โดยที่กลุ่มสินค้าเขา ราคาส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10000 เลย และผู้ใช้หลายคนยังคงจัดให้ iPHone คือ ของหรูหรา
2) ส่วนแบ่งการตลาดที่ไม่ตกและไม่ขึ้นมาก แม้จะคู่แข่งราคาถูก ซึ่งข้อนี้แหละที่ผมทึ่งกับ Apple Line ผลิต Apple อาจจะไม่มากเหมือน คู่แข่งแต่ทว่า ยอดขายทั่วโลกกลับไม่ลดลงมากนัก ทำให้ผมทึ่งกับแนวทางการตลาดของ Apple มากทีเดียว

จากสองประเด็นนี้ทำให้เรามาวิเคราะห์กลยุทธ์ของ Apple กัน
1) กลยุทธ์ ลดต้นทุน
แอปเปิ้ล เน้นกลยุทธ์การผลิตแบบต้นทุนต่ำ โดยแม้จะคิดค้นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงแต่กลับจ้างบริษัทผลิตที่ต่างประเทศอย่าง Foxcon และ Samsung และการสั่งผลิตแต่ละครั้งล้วน สั่งเป็นล๊อตใหญ่ๆเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด

2) กลยุทธ์หวงทรัพย์สินทางปัญหา
แอปเปิ้ลมีทรัพย์ทางปัญญาที่เป็นสิทธิบัตรจำนวนมากการคัดลอกและใช้สิทธิบัตรเป็นเรื่องง่ายที่หลายๆบริษัททำ ฉะนั้นแอปเปิ้ลเพื่อลดต้นทุนและลดการเลียนแบบสินค้าจึงไม่จ้างบริษัทเดียวในการผลิตสินค้าแต่เน้นกระจายออกเช่น Foxconn ผลิตเครื่องชิป ให้ Samsung และ กระจอกให้ใช้ Gorilla glass หรือ Saphire ซึ่ง เป็นวัสดุที่ทันสมัยและทนทานที่สุดแห่งหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังมีการทำสัญญา ว่าอุปกรณ์ที่ผลิตกับแอปเปิ้ลนั้นห้ามผลิตให้กับคู่แข่งรายอื่นอีกด้วย แต่แลกมาด้วยค่าตอบแทนอันมหาศาลที่ได้จากแอปเปิ้ลนั่นเอง

การหวงทรัพย์สินทางปัญญาของแอปเปิ้ลไม่ได้แสดงออกแค่ทางด้านการสัญญาของการผลิตเท่านั้นแต่ยังรวมถึงการฟ้องร้องคู่แข่งที่ละเมิดสิทธิทางปัญญาของตนเองอีกด้วย แม้ว่าการทำเช่นนี้เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเท่าเพราะ สินค้านั้นผ่านไปมันก็จะมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นอีก แต่แน่นอนว่ามันมีประโยชน์กับ Apple แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้ได้ชื่อเสียงว่า เป็นผู้สนับสนุนทรัพย์สินถูกลิขสิทธิ์ และการทำให้คู่แข่งในอนาคตต้องเกรงกลัวต่อการเข้ามาในธุรกิจเพราะว่าการฟ้องร้องของ Apple นั่นเอง

3) การคุม Supply Change
Supply Change คือห่วงโซ่การผลิต การทำห่วงโซ่การผลิตคือการควบคุมตั้งแต่ขั้นตอนการหาวัตถุดิบจนถึงขั้นตอนการขายสินค้า ข้อนี้แอปเปิ้ลมีความชำนาญด้านนี้อยู่แล้วทำให้ การทำไม่ยากเลย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานทำให้ Apple กล้าจะคุมห่วงโซ่อุปทานอย่างที่ไม่ต้องกลัวเรื่องต้นทุนใดๆทั้งสิ้น

4) Store จุดกระจายสินค้าทั่วโลก
Apple Store คือสิ่งปฏิวัติใหม่ของวงการไอทีนับตั้งแต่มี iPod มา โดยเน้นศูนย์ที่ไม่ใหญ่ มากแต่เน้นกระจายทั่วโลกและพยายามครอบคลุมให้มากที่สุด โดยกลยุทธ์นี้จะคล้ายกับ กลยุทธ์กระจายของน้ำอัดลมของ Coke และ Pepsi นั่นเอง ซึ่งการนับว่าการตลาดทำการบ้านได้ดีมาก การกระจายสินค้า(Diversification Distribution) ให้เข้าถึง User ให้ง่ายที่สุดนับเป็นไม้ตายที่ต่อยอดกลยุทธ์ได้ดีมากทีเดียว แต่ไม่เพียงแค่นั้น ถ้าสังเกตดีๆ การ Position ของ Apple ยังวางตัวเป็นสินค้า พรีเมี่ยมที่เข้าถึงทุกคนอีกด้วยฉะนั้นจุดที่ Apple Store ไปตั้งนั้น จะไปตามเมืองใหญ่ๆ ที่มีกำลังซื้อก่อนจึงค่อยส่งให้ศูนย์เล็กๆ กระจายตัวออกไป

5) การแบ่งรุ่นสินค้า
การแบ่งรุ่นสินค้าของ Apple คือการแบ่งชั้นของสินค้าให้ผู้ซื้อง่ายขึ้น โดยจะเห็นว่าแต่เดิมนั้น Apple จะมีแค่ iPhone ,iPad แต่เมื่อการตลาดเปลี่ยนไป โดยเมื่อผู้ใช้เริ่มไม่อยากใช้ แท๊บเล็ตจอใหญ่ ทำให้ Apple จึงแบ่งรุ่นให้เล็กลง จึงออก iPad Mini ออกมา การทำเช่นนี้ แม้จะทำให้ยี่ห้อ พรีเมี่ยมตกลงไป แต่ก็ทำให้ เกิดผู้ท้าชิงตลาด Tablet กับ SS ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อขึ้น และนอกจากนี้ Apple ก็ยังไม่ทิ้งคำว่า พรีเมี่ยมโดยวางราคา iPad Mini ในราคาที่ค่อนข้างสูงในตลาดแท๊บเล็ตขนาด 8 นิ้วเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ยอมแพ้ในตลาดเลย แต่ไม่เพียงแค่นั้น การแบ่งรุ่นสินค้ายังมีประโยชน์ที่ทำให้ผู้ใช้ที่ชอบสินค้า Apple แต่ไม่อยากเสียเงินในราคาแพงหันมา มอง Apple มากขึ้น ด้วยจุดแข็งของ OS ที่ตอบสนองต่อการพกพาได้ดีที่สุดนั่นเอง

6)  สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าและคู่แข่ง
การสร้างประสบการณ์ที่ทำให้คู่แข่งและลูกค้าทึ่งและคิดว่าตามอยู่นับเป็นกลยุทธ์สำคัญของ Apple และส่วนสำคัญนั่นคือ iOS, OS X สอง OS ที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Apple ขายได้ ทำให้ Apple พยายามพัฒนาอยู่ตลอดไม่หยุดยั้ง การทำให้สอง OS นี้จะขายดีก็ต้องทำให้การทำงานเชื่อมต่อกันมีความลื่นไหลมากที่สุด เมื่อ Google หันมาให้บริการทาง Internet ความเร็วสูง และการเชื่อมต่อไร้สายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง 3G,4G และ กำลังพัฒนาถึง 5G ทำให้เกิดไอเสียการเชื่อมตต่อสอง OS หลายอุปกรณ์เกิดขึ้น และเนื่องจากเป็นระบบปิดนี่เอง ทำให้อุปกรณ์ต่างๆของ Apple เชื่อมต่อกันง่ายกว่าOS อื่นหลายเท่าตัว และ Apple เองก็ผลักดันทางด้านนี้โดยตลอด

นอกจากนี้ ยังมีการสร้างประสบการณ์ในการรวมการทำงานของทุกสิ่งเข้าด้วยกันต้องพึ่ง พลังแห่งนวัตกรรม นั่นก็คือ Cloud นั่นเอง Cloud เป็นหนึ่งในสิ่งที่ Apple พยายามผลักดันมาตลอด เพราะตอนนี้คู่แข่งได้นำไปไกลแล้ว Cloud นั้นมีหลายแบบแต่ Apple จะเน้นที่ Storage Cloud เป็นหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ได้สำรองข้อมูลของตัวเองและทำให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยกับการใช้งานสินค้าของตนเอง

หนึ่งใน Cloud ที่ได้ผลของ Apple คือการใช้ Find My Phone และ Function ล๊อค iPhone ผ่าน iCloud ที่ทำให้ผู้ขโมยไม่สามารถปิดเครื่องเองได้ง่าย ทำให้โจรไม่อยากขโมยเท่าไร ซึ่งจากผลการใช้งานทำให้เครื่อง iPhone หายน้อยลงอย่างมาก นับว่าประสบควมสำเร็จทีเดียว การทำเช่นนี้จะทำให้ iPhone เรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

7) CSR- สนับสนุนการเข้าถึงคนพิการ
ข้อนี้หลายๆคนอาจจะไม่สังเกตุ แต่สินค้าของ Apple อย่าง iPhone และ iPad กลับมีฟังก์ชันสำหรับคนพิการทางด้านหูหรือสายตา ให้สามารถใช้สินค้าของตนได้ด้วย การทำเช่นนี้ทำให้ คนพิการทางสายตาก็เข้าถึงสินค้าตนได้ พร้อมกับยังทำให้ทั่วโลกรู้ว่า สินค้าของ Apple นั้นไม่ธรรมดานะ มีการเป็นอารยสถาปัต ไม่ได้จำกัดแค่คนปกติเท่านั้น

8) การวางตัวเป็นผู้นำนวัตกรรม
ผู้นำนวัตกรรมคือผู้ที่สามารถโกยผลประโยชน์ของตลาดได้เป็นเจ้าแรก ข้อนี้ Apple ตระหนักดี ฉะนั้นการทำนวัตกรรมต่างๆ Apple จึงโปรโมทตัวเองเสมอวเขาคือเจ้าแห่งนวัตกรรม ที่ทำให้ทุกคนต้องลุ้นว่าจะมีของใหม่ๆอะไรออกมาจาก Apple บ้าง และมันก็ได้ผลมากเลยทีเดียวทำให้ คนทั่วโลกยังคงใส่ใจกับ Apple มากที่สุด และก้าวสู่ ผู้นำของโลก IT ในไม่ช้า(แม้ตอนนี้อาจจะช้ากว่า Google)

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น จะเห็นว่ากลยุทธ์ต่างๆของ Apple จะมีแบ่งเป็น 3 ส่วนนั่นคือ การบริหารจัดการภายใน, การควบคุมรุกกับศัตรูภายนอก และการเปิดสนามรบใหม่ ทั้งสามนี้ จะรวมอยู่ในกลยุทธ์ที่ได้แสดงออกมา

การบริหารจัดการภายใน

  • กลยุทธ์ ลดต้นทุน
  • การคุม Supply Change
  • การแบ่งรุ่นสินค้า
การควบคุมรุกกับศัตรูภายนอก
  • Store จุดกระจายสินค้าทั่วโลก
  • CSR- สนับสนุนการเข้าถึงคนพิการ
  • กลยุทธ์หวงทรัพย์สินทางปัญหา
  • สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าและคู่แข่ง
  • การแบ่งรุ่นสินค้า

การเปิดสนามรบใหม่
  •  การวางตัวเป็นผู้นำนวัตกรรม

ลองวิเคราะห์ให้ดี จะเห็นว่า การบริหารจัดการที่ดีของ Apple จะมีสูตรที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่อรวมสามอย่างเข้าด้วยกันโดยจะยุคสตีฟจ๊อบมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเห็นว่าการแบ่งรุ่น การฟ้องคู่แข่งคือกลยุทธ์รุกและควบคุมคู่แข่งของ Apple จากนั้นตัวเองก็ซุ่มวางตัวเปิดสินค้าใหม่ๆ โดยการเปิดสนามรบใหม่ๆที่คู่แข่งกำลังพะวงกับการรุกของ Apple อยุ่ นอกจากนี้ยังมีการจัดการแบ่งรุ่นและตัดสินค้าที่ไม่ทำรายได้ทิ้ง ทำให้เป็นการจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยการจ้าง โรงงานจากเอเชีย ที่ต้นทุนต่ำกว่ายุโรปหรืออเมริกามาก จึงเป็นการชาญฉลาดอย่างมากที่ผู้ทำเช่นนี้ได้




วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คนไอทีทำไมมันพูดไม่รู้เรื่อง(2) - Tip การพูด จบ

จากบทความอันที่ 1 ที่ได้เคยเขียนไว้ว่า ทำไมคนไอทีมันคุยไม่รู้เรื่อง คราวนี้มาถึงตอนที่ 2 ผมจะแนะวิธีพูดเพื่อ ให้คนไอที ได้รู้สึกว่าจะคุยกับชาวบ้านได้มากขึ้น และทำให้รู้สึกว่ามั่นใจมากขึ้นก่อนนะครับ
ก่อนอื่นเลย ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่คนเก่งหรืออะไรแต่ผม ใช้วิธีนี้ในการหยุดตัวเองและพยายามเข้ากับทุกคนครับเริ่มที่ ก่อนอื่นต้องหยุดเรื่องไอทีในหัวก่อนครับ เพราะว่าส่วนมากนัก ไอทีมักจะหลงอยู่กับโลกของตัวเองและเข้าใจว่าโลกของฉันดีที่สุด ทำให้ไม่เปิดรับอีก ข้อนี้จะส่งผลให้คนไม่อยากคุยด้วย และมันส่งผลกับตัวเองลึกๆทีเดียว ให้หยุดก่อนเลยครับ เวลาจะพูดหรือสนิทกับใคร จากนั้นมาเริ่มกันครับ
1) ยิ้มก่อนพูด  ก่อนจะพูดจากับใครไม่ให้ตัวประหลาดอย่างแรกก่อนเลย ยิ้มครับ ยิ้มก่อนพูดเลย คนไอทีมักจะทำหน้าตาบึ้งตึงโดยไม่รู้ตัวสาเหตุเพราะ วันๆฉันขอแค่อยู่กับโลกของฉันก็พอ ซึ่งทำให้ไม่มีการเปิดใจรับสิ่งใหม่เลย และการยิ้มยังมีประโยชน์สำหรับคนที่จะพูดด้วยอีกนะครับ แสดงให้เห็นว่าเราเป็นมิตรครับ
2) ฟังก่อนพูด เราควรจะฟังก่อนพูดเสมอครับเพื่อให้รู้ว่า เขาพูดอะไรกันจะได้สนทนาได้ถูก
3) อย่าอายที่จะถาม การสนทนากันจะประกอบด้วยผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งบอกเลยน้อยครั้งที่หลายคนจะชอบเป็นผู้ฟังหลายๆคน ชอบเป็นผู้พูดครับ ฉะนั้นข้อนี้ผมจึงบอกว่า อย่าอายที่จะถาม เพราะการถามหมายถึงว่าเราอยากจะรู้ข้อมูลจากเขา จึงถามและมันจะทำให้เริ่มบทสนทนาด้วยครับ แต่ว่าอย่าถามละลาบละล้วงถึงเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องที่เขาไม่ชอบนะครับ พยายามพูดถึงเรื่องที่เขาชอบและภูมิใจครับ
4) ลดละเลิก ไทยคำอังกฤษคำ ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อที่สำคัญครับ คนไอทีมักติดศัพท์ IT ที่เป็นทัพศัพท์้ไทยคำอังกฤษคำ มันทำให้คนพูดด้วยรู้สึกว่า ขี้เกียจฟังเพราะฟังไม่รู้เรื่องหรือไม่่ชอบที่ต้องมานั่งฟังคำอังกฤษคำไทยคำ บางครั้งอาจจะมองว่าคุณอวดดีด้วย
5) สบตาในการพูด การสบตาเป็นคุณสมับติพื้นฐานของการสนทนา บางครั้งไม่จำเป็นต้องสบตาแบบตลอดแต่ควรสบตาเวลาพูดด้วยครับ
6) ยิงมุขถูกที่ถูกเวลา การสนทนาไม่จำเป็นต้องเครียดตลอดเวลา บางครั้งเราก็ควรจะยิงมุขอออกไปบ้าง แม้จะแป๊กจะอะไรแต่เชื่อเถอะมันดี เพราะการยิงมุขหมายถึงการผ่อนคลายบรรยากาศและทำให้การสนทนาน่าฟังขึ้น
7) อย่าแซว การแซวไม่ใช่สิ่งที่ใครๆชอบ มันทำให้คนถูกแซวรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำไป
8) ตามน้ำบ้างก็ดี จากข้อสำคัญที่บอกให้หยุดคิดถึงเรื่องไอทีในหัวที่เป็นโลกของเราก่อน เพราะมันจะทำใ้หเกิดอคติในใจ และไม่อยากสนทนากัน ซึ่งไม่จำเป็นเลยที่เราจะเอามันไว้ในหัวเรา บางทีเราปล่อยมันบ้างปล่อยให้ไปตามน้ำ เรารับฟังไว้บ้างเถอะแม้จะไม่ใช่เรื่องไอทีที่เราชอบแต่มันก็ไม่เสียหาย บางครั้งการเม้ามอยปล่อยให้คนพูดก็ทำให้เราดูน่ารักขึ้นนะครับ
9) สุภาพแต่พอดี บางครั้งการพูดสุภาพมากๆก็ไม่ใช่เรื่องทีี่คนชอบนะครับ เพราะการสุภาพมากๆมันทำให้รู้สึกห่างเหินมาก ซึ่งบางทีเราอาจจะพูด กู มึงบ้าง เพื่อให้บรรยากาศมันดูผ่อนคลายและเป็นกันเองซะหน่อย แต่ไม่ใช่หยาบคายนะครับ แค่มีบ้างเล็กๆ เพื่อให้รู้ว่า เราก็คนปกตินะ อย่าใช้คำพูด คุณ ผม เธอ ครับ ค่ะ ตลอดเวลา มันทำให้รู้สึก เอ่อมันสุภาพเกินรึเปล่า
10) อย่าฟังอย่างเดียว หัดโต้ตอบบ้าง คนไอทีบางทีก็ฟังมันอย่างเดียวเลย ไม่พูดสักกะคำ พูดเถอะไม่เสียหาย ผิดถูกอย่าอาย พูดโต้กันบ้างมันทำให้เราดูน่าน่าคบหาครับ เปิ่นบ้าง ไม่ต้องกลัว
11) พิจารณาทุกคำพูดที่พูดและรับฟัง ขอให้พิิจารณาไตร่ตรองให้ดี ดูเจตนากันซะหน่อย ว่าผุ้พูดเขาจะสื่ออะไร ไม่ใช่เขาต้องการจะด่าเรา ดันไปโต้ตอบเขาซะงั้น มันก็ทำให้ผู้สนทนาด้วยมีน้ำโห เหมือนกันครับฉะนั้น ดูเจตนากันบ้างก็ดีนะครับ
12) ลดคำศัพท์ภาษาอังกฤษเทคนิค สาเหตุเพราะนอกจากศัพท IT แล้วยังมีศัพท์ภาษาอังกฤษที่หลายๆคนไม่เข้าใจอีก การสื่อสารโดยสลัยไทยคำอังกฤษคำ เช่น เฮ้ ก วันนี้ทำงานเป็นไง Enjoy ปะ วันนี้เราโคตรจะ Bored เลย ยิ่งเจองานวันนี้หัวหน้า แบบ Work Hard สุดๆ ยิ่งไม่ชอบการ Manage อย่างนี้เลยวะ
คือถ้าสังเกตุข้างบนจะมีคำไทยคำอังกฤษคำเยอะมากๆ มันทำให้คู่สนทนาด้วยบางทีรู้สึกเอ่อ คือจะเทพไปไหน น่ารำคาญ ลดซะครับ เปลี่ยนคำพวกนี้เป็นอย่างอื่น อย่างเช่น วันนี้ ทำงานเป็นไง เบื่อปะ วันนี้กูโคตรจะเซ็งเลย หัวหน้าแบบชอบทำงานหนักๆงี้ แต่การจัดการไม่ได้เรื่องเลยวะ สังเหตุว่า สองประโยคดีเหมือนกันแต่พอเป็นไทยล้วนๆแล้วเราจะเข้าใจมากกว่ากันเยอะเลย ขอให้ลดซะหน่อยนะครับ (ปล.แต่กับลูกค้าบางคนไม่ต้องลดนะเพราะ เข้าใจบางคนอยากโชว์เทพก็ต้องพูดกับเขานะครับ)

ทั้ง 11 ข้อคือสิ่งที่ผมจะแนะนำในการพูดครับ ซึ่งมันคือการคุยกันสนทนากันเพื่อไม่ให้ เรารู้สึกว่าคนไอทีมันเหมือนสัตว์ประหลาดในสายตาคนอื่น คนทั่วไปเขาจะไม่เหมือนเราครับ ลองหน่อยไม่เสียหายครับ ยิ้มพูด ฟัง พิจารณา และลดอคติ(Bias) ของตัวเองลงครับ แล้วจะดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ฺBe careful for Fast Communication with Internet(ข้อควรระมัดระวังการสื่อสารกับอินเตอร์เน็ต)

ความเร็วในการสื่อสารถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตในยุค Internet 3G,4G และ กำลังจะไปถึง 5G การเข้าถึงเครื่องมื่อสื่อสารที่ง่ายขึ้นเพราะ โทรศัพท์มีราคาถูกลงมาก และอินเตอร์เน็ตก็เข้าถึงได้ง่ายทำการสื่อสารไม่จำเป็นต้องอยู่บนโทรศัพท์อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา แท๊บเล็ต หรือ PC สิ่งเหล้านี้สามารถทำให้เป็นการสื่อสารได้ทั้งสินขอเพียงมี Application เท่านั้นเอง แต่วันนี้ไม่ได้จะมาบอกหรอกนะครับถึงโลกแห่งการสื่อสารเป็นยังไง แต่จะมาชี้ให้เห้นถึงคุณและโทษของมัน
จากข่าวที่ดูช่วงหลายเดือนมานี้ จะเห็นข่าวที่มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายมากมายแพร่ออกไปตามสื่ออินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น ข่าว ผู้สื่อข่าวเล่นชู้ การคุณเจนี่กับคุณเอ๋ เลิกกันแล้วหรือเปล่า? หรือก่อนหน้าจะเป็นข่าวการเมืองที่ร้อนแรงอย่าง จำนำข้าว ข่าวอาชญากรรมที่น่ากลัวอย่าง ข่าวฆาตกรฆ่าน้องแก้ม และล่าสุดข่าวโค้ชเชกับนักกีฬาก้อย ซึ่งทั้งหมดนี้ ชนวนแรกเริ่มเดิมทีนั้น สิ่งเหล่านี้แพร่ไปอย่างรวดเร็วเกิดจากอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผ่าน Twitter,pantip,sanook,facebook,line โดยสิ่งเหล่านี้ถึงผุ้คนได้อย่างไร ก็ผ่านเครื่องมือ Smart Device ต่างๆ ที่สามารถออกอินเตอร์เน็ตได้นั่นเอง

ข้อดีของอินเตอร์เน็ตมีมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีข้อเสียเลยซะทีเดียว ผมจะขอแสดงให้เห็นถึงข้อเสียที่จะเกิดจากการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตง่ายดายบ้างนะครับ
1) การเผยแพร่ที่รวดเร็วเกินไปทำให้ ยากจะเข้าถึงแหล่งที่มาที่แท้จริง ข่าว ที่แพร่ออกไปไม่แน่ว่าจะเป้นข่าวจริง ข่าวหลายๆข่าว ที่แพร่ออกมานั้นผู้แพร่ข่าวบางทีก็เขียนขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของบุคคลาสาธารณะต่างๆ เป็นข่าวจริงหรือข่าวเสร็จ ก็ไม่สามารถทราบได้รู้แต่เพียงผู้รับสารนั้น บางคนมีอคติในใจอยุ่แล้ว ยิ่งพอเจอบางข่าวที่ไม่ทราบที่มา แต่แค่ผ่านมาทางโลกออนไลน์ ก็ทำให้เชื่อไปแล้วโดยขาดสติได้ ข้อนี้เป็นข้อควรระวังอย่างนึงเพราะ การทะเลาะเบาะแว้งเข้าใจผิดกัน เกิดได้ง่ายขึ้น สาเหตุเพราะการเข้าถึงที่รวดเร็วเกิดเป็น Viral อย่างรวดเร็ว กว่าจะแก้ข่าวได้ก็ทำให้แย่กันแล้ว
2) ความเสียหายร้ายแรง การเผยแพร่เพื่อทำลายชื่อเสียงก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ  และยากจะกู้ชื่อเสียงกลับมาได้โดยง่าย
3) คนเบื่อ เมื่อสิ่งที่เผยแพร่ออกมาจากสื่อ หากไม่สามารถวัดได้ก็จะทำให้ ผู้เสพสื่อเริ่มเบื่อและเริ่มรู้สึกว่า เดี่๋ยวมันก็เป็นแค่กระแสที่จางหายไป ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนเริ่มไม่เชื่อถือในข่าว ซึ่งหากข่าวที่ออกมาเป็นความจริง กว่าจะถึงเวลานั้นก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้
4) เปลือง การสิ้นเปลืองเกิดมากขึ้นจากการเข้าถึงสื่ออินเตอร์เน็ต ที่มีโฆษณามากมาย ดึงดูดให้ผู้ใช้งานออนไลน์หันมาช๊อปปิ้งมากยิ่งขึ้น การชำระผ่านบัตรเครดิตออนไลน์ที่ ผู้ใช้งานบางคนขาดสติเนื่องจากความสะดวกสบายนี้เอง การเข้าถึงสื่อและโฆษณารวดเร็วการช๊อปและจ่ายที่รวดเร็ว ทำให้เกิดวัฒนธรรมการใช้ของที่สิ้นเปลือง เพราะของที่ออกมาใหม่นั้นเร็วมากและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วขึ้นทั่วโลก ความล้าสมัย เกิดขึ้นเร็วจึงเกิดความสิ้นเปลืองตามมานั่นเอง
5) ห่างไกลจากสังคม ข้อนี้เป็นข้อเสียอย่างมาก สังคมที่ว่านี้ไม่ใช่สังคมออนไลน์แต่มันคือสังคมใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง ญาติ หรือคนรัก นั่นเพราะการสื่อสารเข้าถึงง่าย ทำให้คนหมกมุ่นแต่อยู่ในโลกออนไลน์ ซึ่งคนไทยเอง ก็เปราะบางกับเทคโนโลยีอย่างมาก นิสัยโดนพื้นฐานมักชอบเสพข่าวที่กำลังดัง และแสดงความคิดเห็นและรอเสียงตอบรับจากความคิดเห็นที่โพสหรือแสดงลงไป ซึ่งจะทำให้จับจ่ออยู่กับหน้าจอทั้งวัน ทำให้เกิดโลกส่วนตัวสูง และห่างไกลจากเพื่อนฝูงมากยิ่งขึ้น ข้อนี้จะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับนักเทคโนโลยีมากนักสาเหตุเพราะ เขาจะเข้าใจถึง โลกออนไลน์และโลกปกติดีนั่นเอง
6) ขาดจริยธรรม การขาดจริยธรรมเป็นหนึ่งในข้อเสียของการสื่อสารที่เข้าถึงกันง่ายเกินไป สาเหตุเพราะเด็กรุ่นใหม่เริ่มอยากให้คนอื่นเห็นตัวเองสำคัญมากยิ่งขึ้นจึงได้แสดงความคิดเห็นผ่านโลกออนไลน์ โดยที่อยากให้คนสนับสนุนตัวเอง ซึ่งการแสดงความคิดเห็นนี้เองบางอย่างก็ไม่ได้ไตร่ตรองจริยธรรมให้ดีซะก่อน ทำให้เกิดการทำร้ายคนอื่น แต่ว่าเมื่อแสดงความคิดเห็นลงไปแล้วกลับมีบางคนสนับสนุน ทำให้เด็กๆเหล่านี้เข้าใจว่า สิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกแล้ว แม้จะละเมิดในสิทธิคนอื่นหรือทำร้ายคนอื่นก็ตาม ขอเพียงมีคนตามนั่นคือถูกแล้ว ซึ่งข้อนี้ต้องแก้ไขกันอย่างแรง จริยธรรมเป็นสิ่งที่จะทำให้สังคมอยู่ได้อย่างเป็นสุข มันคือสิ่งที่แบ่งแยกความเป็นคนออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น และทำให้รู้จัผิดชอบชั่วดี จะสังเกตว่า คนที่เข้าถึงจริยธรรมไม่ได้นั่นสุดท้ายก็จะเดือดร้อนเสมอเพราะอะไร? นั่นเพราะว่า การกระทำย่อมต้องมีดอกและผล หากเราช่วยเหลือคน ก็จะมีคนช่วยเหลือเรา แต่หากเราทำร้ายคน ก็จะต้องมีการระแวงเสมอว่าจะมีคนทำร้ายเราคืนบ้าง ข้อนี้คนขาดจริยธรรมจะไม่คิด และเมื่อก่อน ไม่กล้าแสดงออกเพราะการสื่อสารโลกออนไลน์ยังไม่มีแต่ปัจจุบันมันเขา้ถึงได้ง่ายขึ้น การกระทำต่างๆ จึงง่ายมากขึ้น มั่นใจขึ้น และเริ่มสนใจจริยธรรมน้อยลง สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขและไตร่ตรองให้ดี

นี่คือสิ่งที่ผมเห็นและวิเคราะห์ให้ชัดเจนถึงข้อดีและข้อเสียของการเข้าถึงการสื่อสารที่รวดเร็วนะครับ จริงๆยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การละเมิดลิขสิทธิ์ การประจานสู่สังคม หรือ การเข้าถึงเว็บโป๊ได้ง่ายดาย  ล้วนแล้วแต่เป้นทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งสิ้น
สำหรับผมนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการรู้จักไตร่ตรองก่อนจะทำอะไร คิดถึงใจเขาใจเราและไตร่ตรองสักหน่อย อินเตอร์เน็ตมีข้อดีอนัน แต่ข้อเสียมันอาจจะทำให้เราถึงขนาดอยู่ในสังคมไม่ได้เลยก็ได้นะ
ฉะนั้นคิดดีๆครับผม

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โอกาสฟื้นฟู ของ PC

ตอนนี้เราปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่า ปัจจุบันได้เข้าสู่ ยุคหลัง PC เรียบร้อยแล้ว แต่ละคนเริ่มมีคอมพิวเตอร์พกพาส่วนตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Tablet, Smartphone และกำลังจะเข้าสู่ยุค Smart Wearable กันอีกด้วย เจ้า Smart Wearable  เดี๋ยววก็เริ่มกำลังมาแล้ว พร้อมกับได้แรงผลักดันจาก ค่าย IT ต่างๆโดย เฉพาะ google กับ Samsung แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น ปัจจุบันเนื่องด้วยเทคโนโลยีมันไปไกลขึ้น Smart Wearable เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง มันยังไม่จบแค่นี้หรอก แต่วันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องนี้ครับ ผมจะพูดถึงโอกาสของ PC ที่มีแนวโน้มจะดีขึ้นเนื่องด้วยปัจจัยเสริมดังนี้
1) การเปลี่ยนผ่านของ Windows Xp ไป 7 ซึ่งแน่นอนว่า ไมโครซอฟท์เองก็เพิ่งประกาศไปไม่นานว่า อีกไม่ช้าก็จะเลิกสนับสนุน Windows 7 เช่นกัน (แต่คงนานกว่า XP แน่นอน) ทำให้หลายบริษัทเริ่มเปลี่ยนถ่ายจาก XP มา 7 หรือ 8 ซึ่ง การเปลี่ยนตรงนี้ ทำให้ยอดขายของ PC พวก NB กลับมามากขึ้น
2) Windows 9 ปัจจยันี้จะเป้นปัจจัยนึงที่คนจะกลับมาซื้อ NB หรือ PC มากขึ้นเพราะว่าหลายคนเองก็รอความสมบูรณ์ของ Windows ที่ออกมา ล่าสุดก็ได้มีหน้าจอออกมาบ้างแล้วแต่ว่ายังคงแค่หลุดเท่านั้น แต่หลายคนก็ให้ความสนใจกับมันมากทีเดียว
3) จุดอิ่มตัวของ Smart Device อุปกรณ์จำพวก BYOD นั้น มีความสะดวกในการพกพาและให้ความบันเทิงแต่จุดอ่อนของพวกนี้ยังแก้ไม่ได้นั่นคือ พวก Performance และความสามารถในการทำงาน หลายๆคนยังคงใช้ Linux หรือ Windows ควบคู่กันไปเสมอ ฉะนั้นเราจึงเห็น หลายๆเจ้าพยายามจะเกทับเอา Tablet จอใหญ่ๆออกมาเพื่อให้ทดแทนการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังทำไม่ได้ด้วยข้อจำกัดทางเทคโนโลยีที่เกิดกับปัจจุบัน(ตรงนี้ผมคาดว่าเทคโนโลยีคงจะพร้อมในอีก 4 ปีข้างหน้า แ่ต่ Tablet จะอยู่รึเปล่าอีกเรื่องนะครับ) Smart Device จุดแข็งคือสะพวกพกพาและบันเทิง แต่คณะเดียวกันมันยากต่อการจัดการกับองค์กร โดยเฉพาะการทำงานบนองค์กรถ้า Device มันหลากหลายจนเกินไป องค์กรทั้งหลายก็กังวลว่ามันอาจจะทำให้เกิดข้อมูลรั่วไหลโดยง่ายไดด้  จึงยังคงไม่อยากเปลี่ยนจาก Windows,PC ไปเป้นอย่างอื่นมากนัก ประกอบกับ การทำงานหลายๆอย่าง เช่นการ ตัดต่อวีดีโอ การพัฒนา Software หรือ การทำกราฟฟิกดีไซน์ การทำงานที่แท้จริงที่อาศัย Performance หนักๆ ยังคงทำไมไ่ด้จึงจำเป็นจะต้องใ้ช PC ต่อไป
4) ด้วยปัจจัยข้างต้น 3 ทางประกอบกัน มันบรรจบกับการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีพอดี ซึ่งทางเลือกของผู้บริโภคจึงจำเป็นจะต้องซื้อคอมเครื่องใหม่

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นการวิเคราะห์จากสภาพแนวโน้มของตลาดที่เกิดขึ้นนะครับ แต่ว่า PC มีโอกาสฟื้นตัว แต่ครั้งนี้จะได้ไม้ตายเด็ดขาด ควรจะมีเกี่ยวกับ Smart Home เข้ามาจัดการด้วย ถ้าสามารถใช้ Smart Home Client-Server ที่เซ็ด Admin ให้ได้พร้อมกับมี Cortana ที่สื่อสารระหว่าง Client-server ด้วย จะดีมาก โดยสั่งการผ่าน Smart Phone ให้ Server Cortana จัดการละก็จะ Perfect ไปเลย
ทีนี้มาขอเสนอแนวทางที่ PC ควรจะมีเสริมเข้าไปในเส้นทางตรงนี้บ้าง
1) ควรจะมีการเพิ่ม Feature เกี่ยวกับ AI อย่าง Cortana ให้มีหลากหลายภาษาและบทบาทในการใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น การสั่งงานทางด้านบันเทิง ที่เป็น Home Service เข้าไปด้วย
2) ขยาย API ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดย ครอบคลุมการ OCR และ ฟีเจอร์เสียงเข้าไปด้วย เพื่อล่อให้นักพัฒนาหันมาสนใจทำ Native อีกครั้ง
3) 3G-4G-5G ต้องให้ความสนใจมากขึ้นกว่านี้ อุปกรณ์หลายตัว ของ Windows, PC ไม่สามารถติตด่อกับ 3G ได้ มันทำให้ไม่เข้ากับยุคปปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตครอบคลุมทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว
4) ใช้โอกาสนี้ ปิดสิ่งที่ไม่จำเป็นลง ยกตัวอย่างเช่น แฟลชหันไปสนับสนุน Native เต็มตัวซะพร้อมกับหนุน  ปล่อย Office ให้ฟรีเป็นฟีเจอร์หลักไ จะช่วยให้ดึงดูดผู้ลงทุนมากขึ้น เพราะนักพัฒนามา ผู้ลงทุนมาผู้ใช้ก็จะกลับมาด้วย
5) มีความเป็นตัวเองให้มากขึ้น นั่นคือ ขยาย Platform ได้แต่จงอย่า พยายามผลักดันให้ Platform อื่นมาเสียบของตัวเอง เพราะนั่นคือการทำให้ Developer ไม่ให้ความสำคัญของตัวเองทันที ควรทำ Service ขึ้นมาแทน นั่นคือการแปลง App อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ สามารถพัฒนาทีเดียวไปได้หลาย Platform แต่อาจจะมีพิเศษที่ถ้าเป็น C# อาจจะมีความสามารถในการเข้าถึงฐานข้อมูลที่เร็วกกว่า Platform อื่นเป็นต้น
6) ใส่ใจกับองค์กร ขยายตลาดองค์กรไม่เน้นที่การบริการองค์กรอย่างเดียวแต่ควรจะหันไปจับมือกับ Adobe เต็มตัวได้แล้ว หากสามารถทำได้ Photoshop & Office ราคาถูก จะทำให้ยอดขายกัลบัมาได้
7) Tools ราคาไม่แพงเกินไป ปัญหานี้สำคัญมากเพราะอย่าลืม Eclipse ถูกจนไร้ราคาแต่ VSD แพงมากจนไม่รู้จะพูดไง ควรทำ Tool Development VSD เวอร์ชั่น Basic ที่มีฟีเจอร์ให้ใกล้เคียงกับ Pro เพื่อให้นักพัฒนาทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายกลับมาใช้งานให้ได้ก่อน

นายไอที (IT)

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

CultureInfo ปัญหาหยุมหยิมที่น่าปวดหัว ในการ Dev

สำหรับปัญหา Culture Info ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาหยุมหยิม สำหรับ Developer .net ที่มักจะมีปัญหา พ.ศ. บ้างคศ. บ้างประจำ และทำให้เกิดการ Error ในจุดที่ไม่ต้องการขึ้น Developer หลายๆ ท่านอาจจะไม่รู้ว่า เราสามารถทำการตั้งค่่าใน WebConfig หรือ App.Config ได้โดยมีสคริปดังนี้
<globalization uiCulture="es" culture="es-MX" />
หรือ 
<configuration>
   <system.web>
      <globalization
           fileEncoding="utf-8"
           requestEncoding="utf-8"
           responseEncoding="utf-8"
           culture="en-US"
           uiCulture="de-DE"
        />
   </system.web>
</configuration>

เปลี่ยน en-Us หรือ de-DE หรือ es,ex-MX เป็นตามที่ต้องการ ซึ่งปกตกิผมจะใช้เป็น en-US นะครับง่ายดี 

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จงเขียนโปรแกรมทอนเงิน

ผมไปหาวิธีเขียนมาครับ เผอิญอยู่ๆอยากเขียน Copy ได้ครับ
 decimal[] ary_dec = new decimal[] { 100, 50, 10,5,1 };//แบงค์
            List<string> listof_doing = new List<string>();
            decimal dec_moneyvalue = 253;//จำนวนเงินรับ
            for (int int_i = 0; int_i < ary_dec.Length; int_i++)          
            {
                var dec_money = ary_dec[int_i];
                decimal dec_res1 = dec_moneyvalue / dec_money;
                decimal mod1 = dec_moneyvalue % dec_money;
                string ary_str_doing ="";

                if (mod1 > 0)
                {
                    int int_i2 = (int_i + 1);
                    ary_str_doing = ary_dec[int_i] + " Bath Uses " + Math.Floor(dec_res1) + " Piece";
                    while (int_i2 <= ary_dec.Length - 1)
                    {
                        dec_money = ary_dec[int_i2];
                        dec_res1 = mod1 / dec_money;

                        mod1 = mod1 % dec_money;
                        if (dec_res1 <= 0)
                        {
                            break;
                        }
                        if (Math.Floor(dec_res1) != 0)
                        {
                            ary_str_doing += "," + ary_dec[int_i2] + " Bath Uses " + Math.Floor(dec_res1) + " Piece";
                        }                      
                        int_i2++;
                    }
                    listof_doing.Add(ary_str_doing);
                    Console.WriteLine(ary_str_doing+"\n");
                }
                else
                {
                    ary_str_doing = ary_dec[int_i] + "Bath Uses " + Math.Floor(dec_res1) + " Piece\n";
                    listof_doing.Add(ary_str_doing);
                    Console.WriteLine(ary_str_doing);
                }
             
               
            }
            Console.ReadLine();
            //var result = listof_doing.ToList();