แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กลยุทธ์ IT แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กลยุทธ์ IT แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 5

Samsung บริษัทยักษ์ ทางด้าน Electronic ในนามของบริษัท Samsung Electronics จำกัด บริษัทซัมซุงมีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลีใต้โดยครั้งแรกไม่ได้เน้นทางด้าน Electronic เท่าไร แต่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น บริษัทจึงได้มีแบ่งส่วนออกมา และต่อมา Samsung Electronic จึงเกิดขึ้น ปัจจุบัน Samsung ไม่ได้จำกัดแค่ส่วนของอุปกรณ์ IT เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น

Samsung เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ Android ซึ่งกินตลาด Android มากที่สุดในโลก ทั้งนี้เริ่มต้นนั้นซัมซุงได้ผลิตมือถือเพื่อแข่งขันกับ Nokia โดยทั่วไป แต่ต่อมาเมื่อ Android เกิดขึ้น ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล จึงได้รีบเข้ามาใน Android ทันที โดยเริ่มต้นมีบริษัทคู่แข่งมากมายทั้ง HTC, Sony, Motorolla ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น แต่ Samsung ก็สามารถพิสูจน์ถึงหนทาง แห่งผู้นำและสามารถพลิกมาเป็นผู้นำในที่สุด

กลยุทธ์ที่ซัมซุงใช้ในการแข่งขันของตลาด SmartDevice นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยนั่นคือกลยุทธ์ เดียวกับของ Nokia ในอดีตนั่นเอง แต่ทว่าซัมซุงมีการเพิ่มเติมเข้าไปอีกเล็กน้อย
1) กลยุทธ์ตามสถานการณ์
ซังซุงเป็นบริษัทที่ปรับตัวเร็วมาก กลยุทธ์อย่างแรกของซัมซุงคือการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ให้ทัน ดังนั้นตอนออกมาช่วง SmartPhone ช่วงแรกที่ Apple ยังคงเป็นราชาอยู่นั้น Samsung ก็เป็นแค่ผู้ตามที่ดี โดยพยายามศึกษาและดูข้อมูลของ Apple อยู่ตลอด และพยายามออกผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับที่ตลาดขายได้ออกมา ซึ่งนั่นคือ Samsung Galaxy S1 นั่นเอง

2) กลยุทธ์ขยายตลาด
เมื่อซัมซุงได้ตามสถานการณ์ทันแล้ว สิ่งที่ซัมซุงทำต่อนั่นคือ การใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองที่มี โดยซัมซุงเป็นOEM ที่ผลิตชิ้นส่วนของอุปกรณ์ SmartPhone ให้กับเจ้าต่างๆอยู่แล้ว จึงดึงข้อได้เปรียบของตัวเองมาและใส่ตัวเองเข้าไป ทำการขยายตลาดขึ้นเมื่อออก S1 ออกมาก็ทำการออก S2 ออกมาเพื่อลองตลาดผู้บริโภคให้มากขึ้น เมื่อลองตลาดแล้ว ยังไม่หยุด จึงมีการออก Android เวอร์ชั่น ที่ราคาโดนใจผู้บริโภคออกมาด้วย โดยเป็น Android ราคาต่ำนั่นเอง การออกพวกนี้ออกมาทำให้ Samsung ได้จับตลาดถูกว่า มือถือต้นทุนต่ำสามารถขายได้ดีกว่า มือถือราคาแพง แต่ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีส่วนหนึ่งทีต้องการมือถือราคาแพงเช่นกัน Samsung จึงทำการแบ่งตลาดและซอยรุ่นต่างๆ ออกมาให้เข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น ตั้งแต่มือถือราคา 2000-3000 บาท จนถึง High-End เครื่องล่ะ 20000 Up ซึ่งการทำเช่นนนี้ทำให้การเข้าถึงผู้บริโภคมีโอกาสมากขึ้น แม้จะมีบางรุ่นที่ขายไม่ดี แต่แบรนก็ติดตลาดเรียบร้อยแล้ว

3) กลยุทธ์ผู้นำนวัตกรรม
ก้าวต่อมาหลังจากขยายตลาด ทำให้สินค้าของตัวเองติดแบรนสำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว จึงเริ่มก้าวต่อมาในการเป็นผู้นำนวัตกรรม ตัวอย่างคือ SS Galaxy Note เป็น Phablet ตัวแรกในวงการออกมา แม้ตอนแรกจะดูเหมือนแป๊กก็ตามที แต่นับเป็นก้าวแรกของนวัตกรรมใหม่ จากนั้นยังมี การรวมสองนวัตกรรมนั่นคือกล้องถ่ายรูป Compact กับ มือถือเข้ามานั่นคือ SS Galaxy Zoom ที่สามารถ่ายรูปได้ชัดเจนมากขึ้น นับเป็นการก้าวแห่งนวัตกรรมมากเลยทีเดียว

4) กลยุทธ์กินส่วนแบ่งตัวเอง
กลยุทธ์นี้ผู้คิดคือ Apple แต่ว่า Samsung เองก็ประสบความสำเร็จด้วย การกินส่วนแบ่งตัวเองคืออะไร มันคือการออก Product ใหม่ให้ทับกับตลาดตัวเองโดยให้กินส่วนแบ่งที่ตัวเองมีอยู่เดิม ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้ส่วนแบ่งไม่ไปไหน ไม่พอ การออก Product ที่ถี่ขึ้น ยังทำให้เป็นการสร้าง Awareness อย่างดีเลยทีเดียว

5) กลยุทธ์ขยายธุรกิจ
ไม่หยุดแค่ มือถือ นั่นแหละคือ ซัมซุง ซัมซุงพยายามขยายออกไปหลายธุรกิจให้มากขึ้นตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์จนถึง ประกันชีวิตเลยทีเดียว การทำเช่นนี้เป็นการประกันความมั่นคงของบริษัทได้อย่างดี โดยข้อนี้ได้ตัวอย่างจาก Nokia ที่เน้นธุรกิจด้านเดียวจนทำให้บริษัท ล้มเหลวในที่สุด

นายไอที 

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 4

Android คือระบบปฏิบัติการมือถือที่เรียกได้ว่ามีประวัติอาจจะยาวนานกว่า iOS ของ iPhone เนื่องจาก Android นั้นแรกเริ่มเดิมทีก็มีต้นแบบมาจากการจะเป็นคู่แข่งกับ อดีตราชาแห่งมือถืออย่าง Nokia นั่นเอง

แรกเริ่มเดินที Android คือระบบปฏิบัติการที่จะใช้บนกล้องดิจิตอล แต่ตลาดที่หดตัวทำให้เปลี่ยนมาเป็นมือถือแทน ผู้ให้กำเนิดคือ Andy Rubin ครั้งแรกที่เขาให้กำเนิด Android ภายใตับริษัท แอนดรอย จำกัด ในรัฐแคลิฟอเนี่ย (อ่านเพิ่มเติมได้้ที่นี่) จากนั้นไม่นานก็ถูก Google Take Over ไป เมื่อ Google เทคโอเวอร์แอนดรอย์ไปแล้วหลังจากนั้นจึงปรับปรุงหน้าจอและ UI ให้ทันสมัยให้เข้ากับยุค SmartPhone มือถือรุ่นใหม่จากนั้น Google ก็ทำดำเนินกลยุทธ์ Opensource ตามแบบ Android ผลคือทำให้การปรับแต่งง่ายต่อนักพัฒนามาก และแต่ละเจ้าที่ใช้ Android สามารถเรียกจุดเด่นของตัวเองได้ จึงทำให้เรียกได้ว่า Android คลองโลกอยู่น่ะปัจจุบัน

กลยุทธ์ของ Google-Android
1) Opensource เรียกพันธมิตร
การเรียกพันธมิตรนี่เองที่เป็นกลยุทธ์หลัก ทำให้ Google ประสบผลสำเร็จจนปัจจุบัน เพราะการเปิด Opensource โดยไม่เก็บค่า License ของ OS ทำให้เกิดต้นทุนต่ำของผู้พันธมิตร และยังเปิด Source ให้เป็นการสร้างเอกลักษณ์ จุดเด่นเฉพาะตัวของ OEM แต่ละเจ้าอีก การทำเช่นนี้ทำให้ผุ้ผลิตชอบ Android มากขึ้นอีก จึงมี OEM หลายเจ้าเข้ามาใช้ Android ทันที ไม่ว่าจะเป็น Samsung ,HTC, Xiamoni ,Huawei,Sony เป็นต้น

2) รายได้รูปแบบใหม่ทางอ้อมจากโฆษณา
แม้ Android จะเป็น Opensource ที่เปิดให้ OEM แต่ละเจ้าได้ทำการใส่เอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปแต่คณะเดียวกัน ก็ยังมีการควบคู่บางอย่างไว้เพื่อให้เป็นรายได้ของ Google นั่นคือ การใส่ Google Play Service และ Advertise บน Free Application ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้ Google ได้รับรายได้มหาศาล แม้ผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นจะได้เงินด้วย แต่Google ก็ยังได้รายได้มหาศาลจากผู้ผลิตที่กระจาย Android ไปทั่วโลกสั่งผลให้ผลประกอบการ เพิ่มขึ้นๆทุกปีๆ จนแซงหน้า Apple

3) สนองความต้องการของคนในยุค 3G
วิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ Google ไมไ่ด้หยุดแค่ Search Engine แหล่งทำเงินหลักของ Google อีกต่อไป แต่ CEO ของ Google ยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เมื่อมี Android แล้ว และยุค 3G กำลังจะมาถึง ซึ่งอินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้ทุกคน หนึ่งสิ่งที่คนต้องการในยุค 3G เข้าถึงผู้คนนั้นคือ การบันเทิง นั่นเอง
หนึ่งสิ่งที่ Google คิดได้ถูกต้องมาโดยตลอดนั่นคือการสร้างความบันเทิง  Google เริ่มมีแนวชัดเจนในการเน้นการบันเทิงมากขึ้นเริ่มจากการที่ ซื้อYoutube ที่เป็นแหล่งรวมวีดีโอบันเทิงอันดับหนึ่งในโลก แม้ตอนเข้าซื้อจะยังมีคู่แข่งบ้างแต่นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ปัจจุบัน Youtube ได้แพร่หลายไปมากมาย คนทุกคนสามารถเข้าชม Youtube ผ่าน มือถือของตัวเอง ทำให้การซื้อ Youtube แม้มูลค่าจะสูงแต่เป็นการทำที่ถูกต้องที่สุด ต่อมาเมื่อมีแหล่งดูวีดีโอแล้ว ก็ยังต้องการพื้นที่ในการแชร์ความรู้สึกส่วนตัว ให้กับเพื่อนๆทุกคนได้ฟังอีกด้วย จึงทำการเปิด Google Plus ขึ้นมา แม้นี่จะไม่ใช่หนึ่งในแนวทางที่ Google ใช้แชร์ความรู้สึกให้กับคนอื่นๆ โดยก่อนหน้าก็จะมี blogger ของ Google อยู่แล้วแต่การมี Google Plus ขึ้นอีก Community หนึ่งนับว่าเป็นก้าวสำคัญของ Google ทีเดียว เมื่อมีการแชร์แล้วก็อยากมีการสนทนากันต่อจึงตามด้วย Google Hangout ทันที เมื่อถึงยุคนี้ จะทำให้เห็นว่า Google ครอบคลุม ไปเกือบทุกบริการที่คนต้องการเลย

4) การพัฒนาถี่และรวดเร็ว
เมื่อมีการคิดถึงบริการที่ครอบคลุมทั่วไปแล้ว Google ก็ยังรู้ดีว่าโลกนี้พัฒนาไปเร็วมาก จึงจะต้องไม่หยุดนิ่งทำให้การพัฒนารุ่นเร็วและถี่ ไม่ว่าจะเป็น Android 2.2,Android 2.4,Android 3.0 และล่าสุด Android 4.4 ล้วนแล้วแต่ระยะเวลาในการพัฒนาที่เร็วทั้งสิ้น เพื่อให้ก้าวหน้าเร็วกว่าคู่แข่งอย่างไม่หยุดยั้งนั่นเอง
การพัฒนาหลากหลายรุ่นและถี่ทำให้เกิดปัญหา Flagmention หรือความแตกต่างของรุ่นขึ้นกับมือถือ Android มากมาย แต่ปัญหานี้กลับไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อเจอกับราคาของ Android ที่ไม่สูงมาก ทำให้การเปลียนใช้มือถือแต่ละรุ่นไม่ใช่อุปสรรคเลย

5) Google Map & Translate ไม้ตายสำหรับอนาคต
วิสัยทัศน์ ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้สำหรับอินเตอร์เน็ตเข้าถึงทุกคน Map & Translate คือหนึ่งในอนาคตที่น่กลัวหนึ่งของ Google เพราะอะไร? อนาคตอินเตอร์เน็ตจะเข้าถึงรถและบ้านได้ ซึ่งการสั่งงานด้วยเสียงคือคีย์สำคัญในการใช้งานพวกนี้ การแปลงภาษาให้ใช้ได้ทุกภาษาทั่วโลกจากคำสั่งเสียง การมีแผนที่ๆ แม่นยำ จะทำให้เรียกความน่าเชื่อถือ และยังอาจจะเป็นต้นกำเนิดหลักของรถยนต์ไร้คนขับที่ดีอีกด้วย
Map แม้ปัจจุบันจะยังไม่ครอบคลุมทั่วโลกและยังไม่เชื่อมต่อกับ คำสั่งเสียงในการค้นหา แต่ต่อไปมันจะรวมกันบนรถยนต์ การทำเช่นนี้จะทำให้ Google เป็นผู้ให้บริการหลักของ ผู้ผลิตรถยนต์ทุกเจ้า เนื่องจากความพร้อมของเทคโนโลยีที่เตรียมพิชิตตั้งแต่ในมุ้ง

6) CSR Free Highspeed Internet
Google ไม่ใช่แต่บริษัทมุ่งค้ากำไรอย่างเดียว แต่ยังมีบริการ CSR เพื่อตอบสนอง คืนสู่ชุมชนด้วยนั่นคือการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Fiber optic)  บนห้องสมุดฟรี(ตอนนี้เริ่มต้นที่ Kansas City ) ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่

เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าวิสัยทัศน์ของ CEO Google Larry Page นั่นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ทั้งก้าวไกลและครอบคลุม เรียกได้ว่า ทั้งคุกคามและรุกไปพร้อมๆกัน การที่มีพันธมิตรจำนวนมากทำให้เป็นการคุกคาม คู่แข่งไปในตัวทำให้ตัวเองมีเวลาในการพัฒนา Product ตัวเองอย่างถึงขีดสุด ไม่ต้องทุ่มงบประมาณมากมายในการทวงสิทธิบัตรเพื่อคุกคามอย่าง Apple ขณะเดียวกันยังมีการเตรียมการให้ครอบคลุมทั่วทุกอย่าง ในยุค 3G อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงอีก เรียกว่า ก้าวไกลมากเลยทีเดียว ฉะนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน อนาคตเราอาจจะได้เห็น Google เป็นเจ้าโลกไปอีกนานหลายสิบปีและไม่แน่นวัตกรรมที่คาดไม่ถึง เช่น หุ่่น Drone ที่ตอนนี้อาจจะย้งไม่เป็นรูปร่าง อนาคตหากมันเป็นรูปร่างจริง อาจจะได้เห็นหุ่นยน Drone ขนส่งคนแทน รถยนต์ก็เป็นได้เนื่องจาก Drone มีข้อดีตรงที่ สามารถลอยบนอากาศได้ทำให้แก้ปัญหาทางด้าน ที่จอดลงไป พร้อมกับความฉลาดที่ สามารถกลับเข้าสู่ลานจอดได้เองและเรียกมารับได้ เราอาจจะเห็นผู้ที่ทำเช่นนี้ คือ Google ก็เป็นได้

นายไอที

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หมากตาเดียวพลาดทั้งกระดาน เป็นยังไง มีตัวอย่างครับ

หมากตาเดียวแพทั้งกระดาน การเดินหมากถือเป้นเรื่องของกลยุทธ์มาโดยตลอดตัั้งแต่โบราณ จนปัจจุบันสนามรบได้เปลี่ยนไปมาก จากเดิมรบด้วยกำลังเป็นการรบด้วยสนามธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ต้องมีกลยุทธ์ทั้งสิ้น ทัพไหนหรือบริษัทไหนที่เดินเกมพลาดย่อมแพ้พ่ายทั้งสิ้น คราวนี้ผมไปเจอตัวอย่างการแพ้พ่ายทางธุรกิจที่สำคัญของ "ยักษ์" ตัวนึงในวงการที่เคยชื่อว่าเป็นยักษ์ใหญ่มากเลยทีนั่นคือ Nokia นั่นเอง ยักษ์ตัวนี้เคยเป็นราชาแห่งมือถือได้เลย ช่วงตั้งแต่ปี 1980-2008 แทบจะเรียกได้ว่านั่นคือราชาอย่างแท้จริง แต่แล้วมันเพราะอะไร? ทำไมอยู่ๆยักษ์ตัวนี้ถึงล้มไม่เป็นท่าด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ตั้งแต่ปี 2008-2014 มันเกิดอะไรขึ้นกับ Nokia กัน แล้วมันเพราะอะไร? เชิญทุกท่านได้ติดตามไปยังบทวิเคราะห์ การเดินหมากที่ผิดพลาดทำให้แพ้ได้ที่นี่ Click

Credit : Blognone.com

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 3

หลังจากเรา วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาสและอุปสรรคของ Apple กันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า สินค้าของ Apple มีการวาง Position ไว้ที่จุดไหน โดย Position นั้น ใครว่าไม่สำคัญ? มันสำคัญมากเพราะจะได้กำหนดได้ว่า การตลาดที่เราต้องการนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์หรือไม่
ผมขอโฟกัสเฉพาะในประเทศไทยนะครับ(ประเทศอื่นไม่เห็นจริงๆ)

  • Age - ตามจริงจุดประสงค์ของ Apple เลยวาง Position นิ่งไว้ กับคนอายุตั้งแต่ป.ตรี - วัยทำงานทั่วไป โดยที่วางเช่นนี้เพราะ จุดประสงค์แรกเริ่มเลยคือการนำของที่ดีให้กับคน โดยของดีนั้นมีต้นทุนสูงอยู่แล้ว ข้อนี้ Apple ตระหนักดีทีเดียวว่า มันจำเป็นมาก ที่ต้องวางให้คนมีอายุที่มีรายได้ พอจะซื้อสินค้าตนได้
  • เพศ - ไม่จำกัด ทั้งหญิงและชาย นอกจากนี้ Apple ยังรวมคนพิการด้วย
  • ฐานะ - เน้นคนที่มีฐานะปานกลาง จนถึงร่ำรวย
  • ที่ตั้ง - ใจกลางเมือง หรือตามย่านศูนย์การค้าที่คนมีฐานะเดินพลุกพล่าน สังเกตให้ดี iStudio จะมีเฉพาะสาขาที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น และ Apple Store ยังเปิดเฉพาะประเทศที่ฐานะเศรษฐกิจดีอีกด้วย เช่น จีน,อเมริกาและยุโรป 
  • การค้า - เน้นการค้าจาก B2C เป็นหลัก โดยผ่านเอเย่นอย่าง iStudio และลงสู่ ลูกค้าโดยตรง
นี่เป็น Position ที่วิเคราะห์ให้เห็นถึงการวางตำแหน่งในการตลาดนะครับ 
 Past ต่อไปผมจะไปสู่ Google - Samsung แล้วครับ



วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 2

ตอน 2 นี้ยังอยู่ที่ Apple นะครับ คราวนี้ผมจะเจาะลึกเกี่ยวกับ SWOT ซึ่งเป็นพื้นฐานของธุรกิจ ของบริษัทบ้างนะครับ
SWOT คือ การวิเคราะห์สภาพการณ์ทั้งภายนอกและภายใน โดยแบ่งเป็น จุดแข็ง จุดอ่อน โอาส แลอุปสรรค
เริ่มด้วย

Strength - จุดแข็ง

  1. กำลังเงิน แอปเปิ้ลตอนนี้นับเป็นบริษัท IT ที่มีจุดแข็งทางด้านการเงินสูงมาก แอปเปิ้ลเป็นบริษัที่มีเงินสดในมือสูงมากตั้งแต่ยุคของสตีฟจ๊อป เคยเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหุ้นสูงที่สุดในตลาด IT ของสหรัฐมาแล้ว แม้ปัจจุบันจะตกลงมาบ้างแต่ก็ถือว่า สูงอันดับต้นๆ เป็นรองเพียง Google เท่านั้น
  2. กำลังคน เนื่องจากแอปเปิ้ลเป็นบริษัทใหญ่ ทำให้มีบุคลากรจำนวนมาก กำลังคนที่แอปเปิ้ลคัดเลือกล้วนแล้วแต่หัวกะทิทั้งสิ้น ด้านกำลังคนก็เป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของ Apple
  3. ดีไซน์ ต้องยอมรับว่าสินค้าของ Apple แต่ละชนิด ล้วนมีจุดดึงดูดทางด้านรูปแบบการดีไซน์ที่ดูหรูหรากว่าของเจ้าอื่น และด้วยความที่เป็นดีไซน์หรูหราน่าใช้นี่เอง ที่ Apple ใช้ในการโฆษณาตัวเองมาตลอด และยังผลักดันให้ตัวเองสู่แบรนพรีเมี่ยมอีกด้วย
  4. ระบบ Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ระบบ Ecosystem ที่แข็งแกร่งมาจากการสะสมสร้างประสบการณ์มาหลายสิปปีของ Apple โดยมีฐานผู้ใช้งานมากมาย ทำให้ มีนักพัฒนารองรับจำนวนมาก เมื่อคิดจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งใหม่ๆ ระบบ Ecosystem ที่แข็งแกร่งนี่เองที่ผลักดันให้ Apple กล้าที่จะออกสิ่งใหม่ๆ มาเรื่อยๆ
  5. ระบบปิด MAC OS และ iOS ระบบปิดถือเป็นจุดแข็งที่สุดของ Apple เพราะไม่เพียงแต่ Control Ecosystem ภายนอกได้เท่านั้น ยังสามารถควบคุมภายในได้ เช่น Application และการเชื่อมต่อไหลลื่นระหว่าง Device ด้วยกัน จุดนี้เองที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้เช่นเดียวกับ Apple เลย
  6. บริษัทแห่งนวัตกรรม แอปเปิ้ลมีจุดแข็งที่หลายคนชอบนั่นคือการที่หลายคนรอคอยการเปิดตัวในอุปกรณ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆล้ำโลกของ Apple และ Apple ก็สามารถตอบสนองได้อย่างดีโดยตลอด
Weak - จุดอ่อน
  1. ระบบ ปิด แม้จะระบบปิดจะถึงจุดแข็งที่ดี แต่มันก็มีจุดอ่อนด้วย ระบบปิดมันจะมีประโยชน์ในช่วงเวลาหนึ่งแต่เมื่อมันโตขึ้นเรื่อยๆ มันก็เป็นอุปสรรคด้วยเพราะ แต่เดิม อุปกรณ์ Apple มีจำนวนไม่มาก ด้วยจำนวนไม่มากชนิดทำให้ ระบบปิดมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเกิดอุปกรณ์มันมากตัวเข้า ถ้าไม่มีการทิ้งอุปกรณ์ออกไปจะกลายเป็นภาระซะเองเนื่องจาก ต้องมีค่าบำรุงรักษาจำนวนมาก เพื่อให้เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆที่ล้าสมัย ขณะเดียวกันสิ่งใหม่ๆก็ออกมาได้ช้ามาก 
  2. จำนวนแรงงานเยอะเกินไป ข้อนี้จะกลายเป็นปัญหาภายใน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการเติบโตขององค์กรที่ใหญ่โตขึ้นการทำงานจะกระจายมากขึ้น ระบบเก่าจะใช้ระบบ CEO เป็นหัวโดยตลอดแต่คราวนี้จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวขึ้นเพราะบริษัทใหญ่โต CEO ไม่สามารถรวมได้หมดต้องกระจายออก ผลที่ตามมาจะทำให้การออกผลิตภัณฑ์มีความล่าช้าลงไปด้วย แต่ข้อนี้อาจจะยังไม่เกิด เพราะอยู่ในช่วงเติบโตของบริษัท
  3. พันธิมิตรทางด้านการค้าต่างๆ น้อย ส่วนใหญ่จะกลืนเค้ามาแทนมากกกว่า การทำเช่นนี้ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นไปอีก
Opportunity - โอกาส
  1.  Ecosystem ที่แข็งแกร่งสามารถสร้างโอกาสได้เสมอ โดยการตลาดยิ่งหมุนไปเรื่อยๆ และตอนนี้คนเเริ่มหาสิ่งใหม่ๆให้กับชีวิต Smart Home,Smart Car คือโอกาสใหม่ที่จะเข้ามาหา Apple ด้วยกำลังเงินที่สูงและกำลังคนที่มาก และความน่าเชื่่อถือของแบรน Apple จึงเป้นบริษัทที่จะกลับมาเป็นเจ้าอีกครั้งหนึง
  2. เทคโนโลยีการชำระเงินมีความก้าวหน้ามากขึ้น Apple การชำระเงินง่ายขึ้น มีระบบผ่อนชำระ ทำให้การใช้สินค้าของ Apple ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอีกต่อไป
  3. คนไทยชอบใช้ Apple มาเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะผู้ใช้ระดับกลาง
  4. ดีไซน์ที่ล้ำยุคที่แฝงในสินค้าทุกประเภท พร้อมกับ กลยุทธ์ที่เน้นโดยตลอดนั่นคือการสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับสินค้า ทำให้ Apple ยังคงเป็นที่น่าสนใจสำหรับทุกๆคนเสมอ
Threat
  1. ราคาสูงทำให้ ไม่สามาถเข้าถึงผู้ "ส่วนมาก" ในโลก
  2. ระบบปิด ทำให้นักพัฒนาบางคนต้องส่ายหัว
  3. ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้น ใช้ของ Apple ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหรือ Ecosystem ยังสูงมากและของผิดลิขสิทธิ์ก็น้อย จึงต้องคิดถึงหลักในการพัฒนาใช้ของ Apple ให้ดีทีเดียว
  4. การใช้งานบางอย่างยังคงตามหลักคู่แข่ง เช่น การใช้งานคำสั่งเสียง,การใช้งาน NFC,การใช้งาน ฟีเจอร์ 3D ,กล้อง ,การสั่งออกปริ๊นเตอร์ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เท่าที่ผมเห็นนะคัรบว่า Apple มีจุดอ่อนจุดแข็งยังไงแต่ จุดแข็งเรามีประสิทธิภาพสูงกว่าจุดอ่อนมาก ซึ่งตอนนี้จุดอ่อนยังคงไม่เห็นผลแต่ทว่าต่อไปนานๆ ถ้าการตลาดยังไม่ดีขึ้น แอปเปิ้ลคงจะะเจอปัญหาแน่นอน




วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Marketing Strategy Analysis - Apple VS Google(Samsung) ตอน 1

สำหรับการตลาดช่วงนี้ ผู้ร้อนแรงในโลกไอทีคงไม่พ้น เจ้าใหญ่สองเจ้านั่นคื Apple และ Google(Samsung)  สองเจ้านี้ เกือบครองโลกเลยทีเดียว ซึ่ง Google จะได้เปรียบตรงที่ มี Samsung เจ้าใหญ่ที่เป็นรายใหญ่ของโลก Android เกือบทั่วโลกเลยทีเดียว
มาวิเคราะห์กลยุทธ์ของ สองเจ้ากัน

Apple 
สุดยอดบริษัทนวัตกรรมของโลก สู้มาตั้งแต่สมัย PC จนปัจจุบันถึง Smart Device ซึ่ง ล้มบ้างเป็นธรรมดา แต่จากประสบการณ์สั่งสมมานานปีและเป็นผู้ริเริ่ม นวัตกรรมต่างๆ ทำให้ยังคงมีอิทธิพลสูงในตลาดโลก ปัจจุบัน การตลาดของ Apple นับว่าประสบความสำเร็จสูงสุด ผมให้เขาสูงกว่า Samsung อีกด้วยซ้ำ นั่นเพราะอะไร
1) Apple สามารถขายสินค้าระดับ High End ได้ทั่วโลก โดยที่กลุ่มสินค้าเขา ราคาส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10000 เลย และผู้ใช้หลายคนยังคงจัดให้ iPHone คือ ของหรูหรา
2) ส่วนแบ่งการตลาดที่ไม่ตกและไม่ขึ้นมาก แม้จะคู่แข่งราคาถูก ซึ่งข้อนี้แหละที่ผมทึ่งกับ Apple Line ผลิต Apple อาจจะไม่มากเหมือน คู่แข่งแต่ทว่า ยอดขายทั่วโลกกลับไม่ลดลงมากนัก ทำให้ผมทึ่งกับแนวทางการตลาดของ Apple มากทีเดียว

จากสองประเด็นนี้ทำให้เรามาวิเคราะห์กลยุทธ์ของ Apple กัน
1) กลยุทธ์ ลดต้นทุน
แอปเปิ้ล เน้นกลยุทธ์การผลิตแบบต้นทุนต่ำ โดยแม้จะคิดค้นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงแต่กลับจ้างบริษัทผลิตที่ต่างประเทศอย่าง Foxcon และ Samsung และการสั่งผลิตแต่ละครั้งล้วน สั่งเป็นล๊อตใหญ่ๆเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด

2) กลยุทธ์หวงทรัพย์สินทางปัญหา
แอปเปิ้ลมีทรัพย์ทางปัญญาที่เป็นสิทธิบัตรจำนวนมากการคัดลอกและใช้สิทธิบัตรเป็นเรื่องง่ายที่หลายๆบริษัททำ ฉะนั้นแอปเปิ้ลเพื่อลดต้นทุนและลดการเลียนแบบสินค้าจึงไม่จ้างบริษัทเดียวในการผลิตสินค้าแต่เน้นกระจายออกเช่น Foxconn ผลิตเครื่องชิป ให้ Samsung และ กระจอกให้ใช้ Gorilla glass หรือ Saphire ซึ่ง เป็นวัสดุที่ทันสมัยและทนทานที่สุดแห่งหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังมีการทำสัญญา ว่าอุปกรณ์ที่ผลิตกับแอปเปิ้ลนั้นห้ามผลิตให้กับคู่แข่งรายอื่นอีกด้วย แต่แลกมาด้วยค่าตอบแทนอันมหาศาลที่ได้จากแอปเปิ้ลนั่นเอง

การหวงทรัพย์สินทางปัญญาของแอปเปิ้ลไม่ได้แสดงออกแค่ทางด้านการสัญญาของการผลิตเท่านั้นแต่ยังรวมถึงการฟ้องร้องคู่แข่งที่ละเมิดสิทธิทางปัญญาของตนเองอีกด้วย แม้ว่าการทำเช่นนี้เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเท่าเพราะ สินค้านั้นผ่านไปมันก็จะมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นอีก แต่แน่นอนว่ามันมีประโยชน์กับ Apple แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้ได้ชื่อเสียงว่า เป็นผู้สนับสนุนทรัพย์สินถูกลิขสิทธิ์ และการทำให้คู่แข่งในอนาคตต้องเกรงกลัวต่อการเข้ามาในธุรกิจเพราะว่าการฟ้องร้องของ Apple นั่นเอง

3) การคุม Supply Change
Supply Change คือห่วงโซ่การผลิต การทำห่วงโซ่การผลิตคือการควบคุมตั้งแต่ขั้นตอนการหาวัตถุดิบจนถึงขั้นตอนการขายสินค้า ข้อนี้แอปเปิ้ลมีความชำนาญด้านนี้อยู่แล้วทำให้ การทำไม่ยากเลย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานทำให้ Apple กล้าจะคุมห่วงโซ่อุปทานอย่างที่ไม่ต้องกลัวเรื่องต้นทุนใดๆทั้งสิ้น

4) Store จุดกระจายสินค้าทั่วโลก
Apple Store คือสิ่งปฏิวัติใหม่ของวงการไอทีนับตั้งแต่มี iPod มา โดยเน้นศูนย์ที่ไม่ใหญ่ มากแต่เน้นกระจายทั่วโลกและพยายามครอบคลุมให้มากที่สุด โดยกลยุทธ์นี้จะคล้ายกับ กลยุทธ์กระจายของน้ำอัดลมของ Coke และ Pepsi นั่นเอง ซึ่งการนับว่าการตลาดทำการบ้านได้ดีมาก การกระจายสินค้า(Diversification Distribution) ให้เข้าถึง User ให้ง่ายที่สุดนับเป็นไม้ตายที่ต่อยอดกลยุทธ์ได้ดีมากทีเดียว แต่ไม่เพียงแค่นั้น ถ้าสังเกตดีๆ การ Position ของ Apple ยังวางตัวเป็นสินค้า พรีเมี่ยมที่เข้าถึงทุกคนอีกด้วยฉะนั้นจุดที่ Apple Store ไปตั้งนั้น จะไปตามเมืองใหญ่ๆ ที่มีกำลังซื้อก่อนจึงค่อยส่งให้ศูนย์เล็กๆ กระจายตัวออกไป

5) การแบ่งรุ่นสินค้า
การแบ่งรุ่นสินค้าของ Apple คือการแบ่งชั้นของสินค้าให้ผู้ซื้อง่ายขึ้น โดยจะเห็นว่าแต่เดิมนั้น Apple จะมีแค่ iPhone ,iPad แต่เมื่อการตลาดเปลี่ยนไป โดยเมื่อผู้ใช้เริ่มไม่อยากใช้ แท๊บเล็ตจอใหญ่ ทำให้ Apple จึงแบ่งรุ่นให้เล็กลง จึงออก iPad Mini ออกมา การทำเช่นนี้ แม้จะทำให้ยี่ห้อ พรีเมี่ยมตกลงไป แต่ก็ทำให้ เกิดผู้ท้าชิงตลาด Tablet กับ SS ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อขึ้น และนอกจากนี้ Apple ก็ยังไม่ทิ้งคำว่า พรีเมี่ยมโดยวางราคา iPad Mini ในราคาที่ค่อนข้างสูงในตลาดแท๊บเล็ตขนาด 8 นิ้วเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ยอมแพ้ในตลาดเลย แต่ไม่เพียงแค่นั้น การแบ่งรุ่นสินค้ายังมีประโยชน์ที่ทำให้ผู้ใช้ที่ชอบสินค้า Apple แต่ไม่อยากเสียเงินในราคาแพงหันมา มอง Apple มากขึ้น ด้วยจุดแข็งของ OS ที่ตอบสนองต่อการพกพาได้ดีที่สุดนั่นเอง

6)  สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าและคู่แข่ง
การสร้างประสบการณ์ที่ทำให้คู่แข่งและลูกค้าทึ่งและคิดว่าตามอยู่นับเป็นกลยุทธ์สำคัญของ Apple และส่วนสำคัญนั่นคือ iOS, OS X สอง OS ที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Apple ขายได้ ทำให้ Apple พยายามพัฒนาอยู่ตลอดไม่หยุดยั้ง การทำให้สอง OS นี้จะขายดีก็ต้องทำให้การทำงานเชื่อมต่อกันมีความลื่นไหลมากที่สุด เมื่อ Google หันมาให้บริการทาง Internet ความเร็วสูง และการเชื่อมต่อไร้สายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง 3G,4G และ กำลังพัฒนาถึง 5G ทำให้เกิดไอเสียการเชื่อมตต่อสอง OS หลายอุปกรณ์เกิดขึ้น และเนื่องจากเป็นระบบปิดนี่เอง ทำให้อุปกรณ์ต่างๆของ Apple เชื่อมต่อกันง่ายกว่าOS อื่นหลายเท่าตัว และ Apple เองก็ผลักดันทางด้านนี้โดยตลอด

นอกจากนี้ ยังมีการสร้างประสบการณ์ในการรวมการทำงานของทุกสิ่งเข้าด้วยกันต้องพึ่ง พลังแห่งนวัตกรรม นั่นก็คือ Cloud นั่นเอง Cloud เป็นหนึ่งในสิ่งที่ Apple พยายามผลักดันมาตลอด เพราะตอนนี้คู่แข่งได้นำไปไกลแล้ว Cloud นั้นมีหลายแบบแต่ Apple จะเน้นที่ Storage Cloud เป็นหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ได้สำรองข้อมูลของตัวเองและทำให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยกับการใช้งานสินค้าของตนเอง

หนึ่งใน Cloud ที่ได้ผลของ Apple คือการใช้ Find My Phone และ Function ล๊อค iPhone ผ่าน iCloud ที่ทำให้ผู้ขโมยไม่สามารถปิดเครื่องเองได้ง่าย ทำให้โจรไม่อยากขโมยเท่าไร ซึ่งจากผลการใช้งานทำให้เครื่อง iPhone หายน้อยลงอย่างมาก นับว่าประสบควมสำเร็จทีเดียว การทำเช่นนี้จะทำให้ iPhone เรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

7) CSR- สนับสนุนการเข้าถึงคนพิการ
ข้อนี้หลายๆคนอาจจะไม่สังเกตุ แต่สินค้าของ Apple อย่าง iPhone และ iPad กลับมีฟังก์ชันสำหรับคนพิการทางด้านหูหรือสายตา ให้สามารถใช้สินค้าของตนได้ด้วย การทำเช่นนี้ทำให้ คนพิการทางสายตาก็เข้าถึงสินค้าตนได้ พร้อมกับยังทำให้ทั่วโลกรู้ว่า สินค้าของ Apple นั้นไม่ธรรมดานะ มีการเป็นอารยสถาปัต ไม่ได้จำกัดแค่คนปกติเท่านั้น

8) การวางตัวเป็นผู้นำนวัตกรรม
ผู้นำนวัตกรรมคือผู้ที่สามารถโกยผลประโยชน์ของตลาดได้เป็นเจ้าแรก ข้อนี้ Apple ตระหนักดี ฉะนั้นการทำนวัตกรรมต่างๆ Apple จึงโปรโมทตัวเองเสมอวเขาคือเจ้าแห่งนวัตกรรม ที่ทำให้ทุกคนต้องลุ้นว่าจะมีของใหม่ๆอะไรออกมาจาก Apple บ้าง และมันก็ได้ผลมากเลยทีเดียวทำให้ คนทั่วโลกยังคงใส่ใจกับ Apple มากที่สุด และก้าวสู่ ผู้นำของโลก IT ในไม่ช้า(แม้ตอนนี้อาจจะช้ากว่า Google)

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น จะเห็นว่ากลยุทธ์ต่างๆของ Apple จะมีแบ่งเป็น 3 ส่วนนั่นคือ การบริหารจัดการภายใน, การควบคุมรุกกับศัตรูภายนอก และการเปิดสนามรบใหม่ ทั้งสามนี้ จะรวมอยู่ในกลยุทธ์ที่ได้แสดงออกมา

การบริหารจัดการภายใน

  • กลยุทธ์ ลดต้นทุน
  • การคุม Supply Change
  • การแบ่งรุ่นสินค้า
การควบคุมรุกกับศัตรูภายนอก
  • Store จุดกระจายสินค้าทั่วโลก
  • CSR- สนับสนุนการเข้าถึงคนพิการ
  • กลยุทธ์หวงทรัพย์สินทางปัญหา
  • สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าและคู่แข่ง
  • การแบ่งรุ่นสินค้า

การเปิดสนามรบใหม่
  •  การวางตัวเป็นผู้นำนวัตกรรม

ลองวิเคราะห์ให้ดี จะเห็นว่า การบริหารจัดการที่ดีของ Apple จะมีสูตรที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่อรวมสามอย่างเข้าด้วยกันโดยจะยุคสตีฟจ๊อบมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเห็นว่าการแบ่งรุ่น การฟ้องคู่แข่งคือกลยุทธ์รุกและควบคุมคู่แข่งของ Apple จากนั้นตัวเองก็ซุ่มวางตัวเปิดสินค้าใหม่ๆ โดยการเปิดสนามรบใหม่ๆที่คู่แข่งกำลังพะวงกับการรุกของ Apple อยุ่ นอกจากนี้ยังมีการจัดการแบ่งรุ่นและตัดสินค้าที่ไม่ทำรายได้ทิ้ง ทำให้เป็นการจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยการจ้าง โรงงานจากเอเชีย ที่ต้นทุนต่ำกว่ายุโรปหรืออเมริกามาก จึงเป็นการชาญฉลาดอย่างมากที่ผู้ทำเช่นนี้ได้




วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โอกาสฟื้นฟู ของ PC

ตอนนี้เราปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่า ปัจจุบันได้เข้าสู่ ยุคหลัง PC เรียบร้อยแล้ว แต่ละคนเริ่มมีคอมพิวเตอร์พกพาส่วนตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Tablet, Smartphone และกำลังจะเข้าสู่ยุค Smart Wearable กันอีกด้วย เจ้า Smart Wearable  เดี๋ยววก็เริ่มกำลังมาแล้ว พร้อมกับได้แรงผลักดันจาก ค่าย IT ต่างๆโดย เฉพาะ google กับ Samsung แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น ปัจจุบันเนื่องด้วยเทคโนโลยีมันไปไกลขึ้น Smart Wearable เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง มันยังไม่จบแค่นี้หรอก แต่วันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องนี้ครับ ผมจะพูดถึงโอกาสของ PC ที่มีแนวโน้มจะดีขึ้นเนื่องด้วยปัจจัยเสริมดังนี้
1) การเปลี่ยนผ่านของ Windows Xp ไป 7 ซึ่งแน่นอนว่า ไมโครซอฟท์เองก็เพิ่งประกาศไปไม่นานว่า อีกไม่ช้าก็จะเลิกสนับสนุน Windows 7 เช่นกัน (แต่คงนานกว่า XP แน่นอน) ทำให้หลายบริษัทเริ่มเปลี่ยนถ่ายจาก XP มา 7 หรือ 8 ซึ่ง การเปลี่ยนตรงนี้ ทำให้ยอดขายของ PC พวก NB กลับมามากขึ้น
2) Windows 9 ปัจจยันี้จะเป้นปัจจัยนึงที่คนจะกลับมาซื้อ NB หรือ PC มากขึ้นเพราะว่าหลายคนเองก็รอความสมบูรณ์ของ Windows ที่ออกมา ล่าสุดก็ได้มีหน้าจอออกมาบ้างแล้วแต่ว่ายังคงแค่หลุดเท่านั้น แต่หลายคนก็ให้ความสนใจกับมันมากทีเดียว
3) จุดอิ่มตัวของ Smart Device อุปกรณ์จำพวก BYOD นั้น มีความสะดวกในการพกพาและให้ความบันเทิงแต่จุดอ่อนของพวกนี้ยังแก้ไม่ได้นั่นคือ พวก Performance และความสามารถในการทำงาน หลายๆคนยังคงใช้ Linux หรือ Windows ควบคู่กันไปเสมอ ฉะนั้นเราจึงเห็น หลายๆเจ้าพยายามจะเกทับเอา Tablet จอใหญ่ๆออกมาเพื่อให้ทดแทนการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังทำไม่ได้ด้วยข้อจำกัดทางเทคโนโลยีที่เกิดกับปัจจุบัน(ตรงนี้ผมคาดว่าเทคโนโลยีคงจะพร้อมในอีก 4 ปีข้างหน้า แ่ต่ Tablet จะอยู่รึเปล่าอีกเรื่องนะครับ) Smart Device จุดแข็งคือสะพวกพกพาและบันเทิง แต่คณะเดียวกันมันยากต่อการจัดการกับองค์กร โดยเฉพาะการทำงานบนองค์กรถ้า Device มันหลากหลายจนเกินไป องค์กรทั้งหลายก็กังวลว่ามันอาจจะทำให้เกิดข้อมูลรั่วไหลโดยง่ายไดด้  จึงยังคงไม่อยากเปลี่ยนจาก Windows,PC ไปเป้นอย่างอื่นมากนัก ประกอบกับ การทำงานหลายๆอย่าง เช่นการ ตัดต่อวีดีโอ การพัฒนา Software หรือ การทำกราฟฟิกดีไซน์ การทำงานที่แท้จริงที่อาศัย Performance หนักๆ ยังคงทำไมไ่ด้จึงจำเป็นจะต้องใ้ช PC ต่อไป
4) ด้วยปัจจัยข้างต้น 3 ทางประกอบกัน มันบรรจบกับการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีพอดี ซึ่งทางเลือกของผู้บริโภคจึงจำเป็นจะต้องซื้อคอมเครื่องใหม่

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นการวิเคราะห์จากสภาพแนวโน้มของตลาดที่เกิดขึ้นนะครับ แต่ว่า PC มีโอกาสฟื้นตัว แต่ครั้งนี้จะได้ไม้ตายเด็ดขาด ควรจะมีเกี่ยวกับ Smart Home เข้ามาจัดการด้วย ถ้าสามารถใช้ Smart Home Client-Server ที่เซ็ด Admin ให้ได้พร้อมกับมี Cortana ที่สื่อสารระหว่าง Client-server ด้วย จะดีมาก โดยสั่งการผ่าน Smart Phone ให้ Server Cortana จัดการละก็จะ Perfect ไปเลย
ทีนี้มาขอเสนอแนวทางที่ PC ควรจะมีเสริมเข้าไปในเส้นทางตรงนี้บ้าง
1) ควรจะมีการเพิ่ม Feature เกี่ยวกับ AI อย่าง Cortana ให้มีหลากหลายภาษาและบทบาทในการใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น การสั่งงานทางด้านบันเทิง ที่เป็น Home Service เข้าไปด้วย
2) ขยาย API ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดย ครอบคลุมการ OCR และ ฟีเจอร์เสียงเข้าไปด้วย เพื่อล่อให้นักพัฒนาหันมาสนใจทำ Native อีกครั้ง
3) 3G-4G-5G ต้องให้ความสนใจมากขึ้นกว่านี้ อุปกรณ์หลายตัว ของ Windows, PC ไม่สามารถติตด่อกับ 3G ได้ มันทำให้ไม่เข้ากับยุคปปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตครอบคลุมทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว
4) ใช้โอกาสนี้ ปิดสิ่งที่ไม่จำเป็นลง ยกตัวอย่างเช่น แฟลชหันไปสนับสนุน Native เต็มตัวซะพร้อมกับหนุน  ปล่อย Office ให้ฟรีเป็นฟีเจอร์หลักไ จะช่วยให้ดึงดูดผู้ลงทุนมากขึ้น เพราะนักพัฒนามา ผู้ลงทุนมาผู้ใช้ก็จะกลับมาด้วย
5) มีความเป็นตัวเองให้มากขึ้น นั่นคือ ขยาย Platform ได้แต่จงอย่า พยายามผลักดันให้ Platform อื่นมาเสียบของตัวเอง เพราะนั่นคือการทำให้ Developer ไม่ให้ความสำคัญของตัวเองทันที ควรทำ Service ขึ้นมาแทน นั่นคือการแปลง App อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ สามารถพัฒนาทีเดียวไปได้หลาย Platform แต่อาจจะมีพิเศษที่ถ้าเป็น C# อาจจะมีความสามารถในการเข้าถึงฐานข้อมูลที่เร็วกกว่า Platform อื่นเป็นต้น
6) ใส่ใจกับองค์กร ขยายตลาดองค์กรไม่เน้นที่การบริการองค์กรอย่างเดียวแต่ควรจะหันไปจับมือกับ Adobe เต็มตัวได้แล้ว หากสามารถทำได้ Photoshop & Office ราคาถูก จะทำให้ยอดขายกัลบัมาได้
7) Tools ราคาไม่แพงเกินไป ปัญหานี้สำคัญมากเพราะอย่าลืม Eclipse ถูกจนไร้ราคาแต่ VSD แพงมากจนไม่รู้จะพูดไง ควรทำ Tool Development VSD เวอร์ชั่น Basic ที่มีฟีเจอร์ให้ใกล้เคียงกับ Pro เพื่อให้นักพัฒนาทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายกลับมาใช้งานให้ได้ก่อน

นายไอที (IT)

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

WP & Win RT แนวทางต่อไปของ Microsoft

ช่วงนี้ดูเหมือนกระแส Android กับ IOS จะกลบกระแสของ WP อย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าปัญหาใหญ่ของ WP ยังไม่ได้รับการแก้ไข นั่นคือ App น้อย ปัญหานี้เหมือนจะแก้ไขก็ไม่ได้แก้ไขอย่างจริงจัง มันเพราะอะไรกัน? เรามาดูกันนะครับว่าสาเหตุนั่นมาจากอะไร
1)       หน้าจอ WP ไม่ถูกใจและล้าสมัย
2)       App น้อย น้อยจนน่ากลัว และหลายๆ App กลับไม่ถูกจุด
3)       ต้องยอมรับความจริงว่า Office ไม่ใช่จุดขาย ไม่มีใครอยากเอา WP มาพิมพ์ Word หรอก
4)       การใช้งานที่ไม่เหมือนกับทั้งสองเจ้าหลักที่อยู่ปัจจุบัน แม้ WP จะตอบได้ว่เป็น Smartphone แต่จุดแข็งนั้นกลับไม่เห็นได้ชัดนัก ยกตัวอย่างเช่น Android มีจุดแข็งคือฟรีและอิสระ สังเกตุว่า Android แต่ละเจ้ามีหน้าจอแทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและฟีเจอร์ สาเหตุเรพาะความอิสระนั่นเอง เป็นต้น
5)       การทำการตลาดที่ช้าของ Microsoft สาเหตุใหญ่อาจจะมาจากตรงนี้เลยก็ว่าได้ เพราะ Microsoft ประเมิน Android ต่ำเกินไปทำให้ต้องเสียจุดขายของตลาดนี้ไป อันนี้เป็นจุดอ่อนใหญ่ของ Microsoft ที่ต้องแก้ไขกันระยะยาวเลย ความเชื่องช้า การไหวตัวแต่ละอย่างที่ช้าและไม่ทันทำให้ ผู้ใช้ไม่ตอบสนอง
6)       การหยุดนิ่งช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างไมโครซอฟท์และโนเกีย ช่วง 6 เดือนตั้งแต่ มค.- กค. นั้น WP แทบจะไม่มี โทรศัพท์ที่เป็นจุดขายจุดใหม่เลย มีแต่จุดเดิมๆที่วนเวียนอยู่ แม้จะเปลี่ยนเป็น WP 8.1 แต่ก็ไม่ได้ชูจุดขายใดๆทั้งสิ้น
7)       ผู้ใช้ที่เคยใช้เริ่มบ่นว่า ห่วย สาเหตุเพราะไม่มีอะไรคืบหน้าเลยจะเล่นเกมหรือ Social ก็ไม่เต็มที่ ไม่มีสักอย่างทำให้ผู้ใช้เริ่มมองว่ามันกำลังจะตาย
8)       ทีม Windows Phone ไม่เก่งพอ อันนี้น่าจะชัดเจนกว่าอย่างอื่น เพราะ WP ไม่โตนั้นเพราะ API ไม่ได้ประสิทธิภาพ และการจำกัดในการเข้าถึง System ของ WP เองก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย
แนวทางแก้ไข
ใช้การตลาดเข้ามาแก้ไขโดยการตัดลดเพิ่มสร้างมันซะสิ
1)       ตัด ตัดออกซะในส่วนของไม่จำเป็น ไม่ใช่ราคาตัดออกแต่ตัดความคิดหน้าจอสีเหลี่ยมๆ ออกไปเลย เ อาความคิดโนเกียเดิมๆเข้าใส่บ้างว่า SmartPhone ทำไมต้องเป็นแต่จอเหลี่ยมๆ ทำไมไม่ทำจอโค้งหรือวงรีออกมาหรืออะไรก็ตามที่มันดูมีสไตล์ เหมือนโนเกียในอดีตออกมาบ้างสิ
a.       ตัด App ไม่จำเป็นออก ซะ หันมาโฟกัสที่ App ที่คนรู้จักกันให้ครบก่อน
2)       ลด
a.       ลดความรู้สึกที่เป้น PC ลงไป
b.       ลดเวลาในการพัฒนาลงซะ ในแต่ละเวอร์ชั่น ลดลง
3)       เพิ่ม
a.       เพิ่ม การตลาดให้มากขึ้น ช่องทางการสื่อสารและรับสาร
b.       เพิ่ม การตอบสนองต่อเสียงลูกค้าให้ไวขึ้น ไม่ใช่ 6-8 เดือน
c.        เพิ่ม จุดแข็งที่แท้จริงของ OS ออกมา ให้ชัดขึ้น นอกจาก Office แล้วมีอะไรบ้าง เช่น เพิ่มจุดขายที่ OS ที่มีเล่นเกมได้ดีที่สุดในโลก
d.       เพิ่ม Port ให้มากขึ้น นั่นคือนอกจาก USB แล้วควรจะมี Port เชื่อมต่อ HDMI เข้ามาจะดีมาก มันจะทำให้ ดูน่าสนใจกว่าเดิม และยังเป็นการเพิ่มความบันเทิงให้ดูน่าใช้อีกด้วย

4)       สร้าง
a.       สร้าง ทีมงาน IT ใหม่ที่เน้น API ทางด้านบันเทิงและเกมให้ดีขึ้น โดยนำ X-Box เข้ามาร่วม
b.       Visual Studio สำหรับพัฒนา WP ที่มีประสิทธิภาพ และฟรี

c.        3D ไม่ใช่ตอบโจทย์ต้องตอบโจทย์ว่าสิ่งที่ลูกค้าใช้ SmartPhone เพราะอะไรจำเป็นจะต้องสร้างประสบการณ์ที่มี่คุณค่า นั่นคือ หน้าจอ UI ใหม่ ที่ดูดีกว่าเดิมและให้ความรู้สึกว่ามันคือ SmartPhone

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แนวทางใหม่แห่งความท้าทายของ Windows

Windows ถูกทิ้งล้าหลังมาตั้งแต่เกิดยุคของ Smart Device ที่กลายเป็นเรียกว่ายุคหลัง PC (Post back PC) ทำให้ วินโดว์ก็เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำตั้งแต่นั้นมา แม้พยายามจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นยังไงก็ยังไม่มีแนวทางจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ล่าสุดปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ทำการเปลี่ยน  CEO คนใหม่ขึ้น การเปลี่ยนCEO นี้เริ่มส่งผลให้เห็นชัดหลายอย่างเริ่มจากการที่ใส่ใจกับ Windows มากขึ้นและหันไปหาธุรกิจบริการมากขึ้นกว่าเดิม นั่นคือ Office และ AZure และจับกับ Smart Phone นั่นคือการซื้อ Nokia และ Windows Phone ครั้งนี้จะมีการพัฒนา Windows 9 ที่จะรวมกันทุก OS ให้สามารถแบ่งความสามารถให้ใช้งานได้ทั้ง Smart Device และ Desktop ซึ่งถือว่าเป็นการเอาจุดแข็งของ Windows  ที่มีทำให้ดีขึ้นน แต่จะสำเร็จรึเเปล่านั้นอีกเรื่อง แต่ตอนนี้ที่น่ากลัวของไมโครซอฟ์ทคือ การล้าหลังในธุรกิจ ข้อนี้เกิดขึ้นกับไมโครซอฟท์อีกครั้ง ในธุรกิจของ ยานยนต์ Google และ Apple เริ่มมีแนวทางใหม่ในการเปิดธุรกิจนั่นคือ Smart Car ที่จะทำรายได้มหาศาลหากสำเร็จแต่ ข่าวคราวของ Microsoft ยังไม่มีทางให้เห็น
มาดูกันว่าหาก Smart Car เกิดจะทำรายได้มหาศาลขนาดไหน
ปัจจุบันธุรกิจรถยนต์ มีมูลค่ามหาศาล ทั่วโลกมีการใช้งานมากมาย กว่า 10 ล้านคัน และธุรกิจยานยนต์ก็เริ่มมาถึงทางตัน การผลิตที่รวดเร็ว เริ่มไม่ตอบสนองต่อผุ้ผลิตอีกต่อไป แนวทางต่อไปนั่นคือการนำ IT เข้ามารวมกับรถยนต์ ก่อให้เกิดเป็น Smart Car รถยนต์ที่มีความเป็น AI มากขึ้น
ขีดขั้นสูงสุดของ Smart Car คงหนีไม่พ้นการขับอัตโนมัติ การตอบสนองผู้ขับขี่อย่างทันใจรวมถึง สร้างความบันเทิงภายในรถยนต์  Smart Car นั่นจะให้ดี ต้องแก้ปัญหาอย่างนึงที่จะเกิดทั่วโลกเมื่อรถยนต์บูม นั่นคือปัญหาเรื่อง "ที่จอดรถ" Smart Car เมื่อบวกกับเทคโนโลยี Transformer ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น จะทำให้แก้ปัญหาที่จอดรถได้ แต่แน่นอนว่า การทำเช่นนี้จะมีต้นทุนมหาศาลและคงจะไม่มีใครลงทุนแน่นอน
การทำสินค้าของ Smart Car ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า เป็นเส้นทางที่ท้าทายของ Windows ที่จะทำให้เกิด Smart Car บนระบบปฏิบัติ Windows ที่แพร่หลายได้

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

IT & Smart Service

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า IT กับการบริการนั้นเป็นของคู่กัน โดยตลอด การบริการที่เมื่อก่อนใช้คนทำ เมื่อประยุกต์กับระบบ  IT เข้ามาก็ทำให้สะดวกขึ้น และเมื่อมี Smart Device เข้ามาก็กลายเป็น IT เข้าถึงคนมากขึ้น เมื่อ Smart Device รวมกับ Service ก็กลายเป็น Smart Service

Smart Service คือ App ที่เป็นบริการเข้าถึงคนทั่วไป โดยหัวคิดนั้นประยุกต์ ระหว่าง IT กับ Business อย่างแท้จริง ปัจจุบันที่เห็นได้ชัดคือ Uber App บริการแท๊กซี่ที่ ประยุกต์การธูรกิจกับ Service IT อย่างเห็นได้ชัด กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ผมขอวิเคราะห์จุดแข็งของ Uber ให้ฟังดังนี้นะครับ
1) Taxi ที่หรูหรา ปัจจุบัน Taxi จะเป็นรถทั่วไปเท่านั้น น้อยนักที่จะมี Taxi หรูหราอย่าง Benz หรือ Camry ที่ขึ้นชื่อว่าหรูหรา ให้ใช้
2) App Uber ที่ครอบคลุมบริการ Uber ได้ประยุกต์ฺ Service เข้ากับ IT อย่างแท้จริง ทำให้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ความจริงสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่า คนมักมองไม่เห็น แต่ Uber มองเห็นทำให้เกิดธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นมาทันที เรียกว่าเข้าถึงกว่าได้เปรียบไป
3) Taxi  ขาดการพัฒนาอย่างรุนแรงเพราะ ไม่เคยเข้าถึง IT มาประยุกต์เลย เป็นระบบ manual ตลอด พอเจองานนี้ กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกับ Taxi ทั่วไปเลยทีเดียว

เบื้องต้นคือสิ่งที่เห็นนะครับ แต่สิ่งสำคัญของการใช้ IT เข้ามาประยุกต์ครั้งอยากให้เล็งเห็นถึง "โอกาส" ครับ
ช่องว่าง IT กับ Service ยังมีอีกมาก เพราะบางอย่างเราทำกันมานานจน คิดว่ามันปกติและมองข้ามไป อย่างเรื่อง Taxi นี้เป็นต้น ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดหลายๆอย่างนำ IT+Service เข้ามาละครับ ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่น่าจะทำคือการ ทำ Delivery + IT คิดว่าถ้า KFC หรือร้านอาหาร เกิดใหม่เกิดเปิดโอกาสให้มี Delivery แบบ Online เหมือน Taxi ผ่าน App ล่ะ บางที KFC หรือ พิซซ่าอาจจะพบคู่แข่งที่ไม่คาดคิดก็ได้ อย่าลืมว่าเมืองไทยเมืองร้อน หลายๆคน ไม่อยากจะออกจากบ้านเพราะร้อนมาก ข้อนีอาจจะทำให้เกิดธุรกิจ Delivery ขึ้นมาได้ครับ

IT & Business

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ราชาทวงบัลลังค์(แผ่นดิน Smartphone คือของข้า Apple)

ในงาน WWCD แอปเปิ้ลเปิดตัว IOS8 ไม้ตายเด็ดๆมายมาย โดยจะเห้นหนทางแห่งการเปิดนวัตกรรมใหม่ นั่นคือการเปิดภาษาใหม่ ที่เรียกว่า "Swift" การเอาใจคนใช้ Mac & IOS ด้วย ฟีเจอร์ Extesibility เพื่อให้การทำงานไม่ขาดช่วง ไร้รอยต่อระหว่าง Smartphone และ MAC มากยิ่งขึ้น  และยังมีหมัดเด็ด สองหมัดที่เห็นชัดคือ การบุกตลาด Home User ด้วยการเปิดตัว HomeKit ชุดควบคุมบ้านที่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งหน้าตกใจอะไรเพราะ เทคโนโลยีมันก็มีแววมาถึงขนาดนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่มันน่าสนใจตรงนี้อยู่แล้ว อีกอย่างคือการบุกตลาด สุขภาพ ที่การแข่งขันยังไม่รุนแรง แสดงให้เห็นถึงแนวทางการบุกเบิกยุคใหม่ของ Apple แน่นอนว่า การทำครั้งนี้ไม่มีนวัตกรรมอะไรน่าสนใจ แต่ว่า ที่น่าสนใจคือ การเขย่าและท้าทาย Android อย่างเห็นได้ชัด การเพิ่มฟีเจอร์มากมายใน iOS8 มันเริ่มทัน Android ที่เป็นราคาครองบัลลงค์สมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้ว แต่ว่าการทำเช่นนี้ ก็มีผลเสียมากเลยสำหรั Apple เพราะอะไร?
1) ทุกสิ่งที่เปิดตัวมา จำเป็นจะต้องขอความร่วมมือจาก Developer และ Pathner จำนวนมาก แต่ Apple ค่อนข้างมีจุดแข็งด้านนี้พอสมควร
2) ทุกสิ่งที่ Apple เเปิดมา นอกจาก Swift ที่เป็นภาษาใหม่ ล้วนแต่มีคนทำแล้วทั้งสิ้น บน Android ฉะนั้น Apple ต้องทำการบ้านในการหา Pathner อีกมาก
3) Swift ยังหาความน่าเชื่อถือยาก เพราะต้องให้ระยะเวลาเป็นตัวทดสอบ
4) ทุกอย่างต้องใช้เงินทุนมหาศาล เพราะแนวทางมันเหมือนการบุกเบิกใหม่เลยทีเดียว


แค่นี้ก็พอเห็นบ้างแล้วใช่ไหมครับทีนี้มาดูหนทางที่ Apple พยายามบุกบ้าง
อย่างตามหัวข้อครับ ราชาทวงบัลลังค์ การเปิดตัว iOS8 คราวนี้ Apple ได้ทำการอัพเดตฟีเจอร์ต่างๆที่ยังขาด ให้ทันกับ Android ด้วย "ตนเอง" การทำแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ยอมลดละที่จะทวงบัลลังค์คืนของ Apple เลย พร้อมกับแนวทางในการกรุยทางเปิดตัวภาษาใหม่ และชุด HomeKit & Health แสดงให้เห็นว่า Apple กำลังพยายามทำตัว ให้เป็นพี่ใหญ่โดยการสร้างทุกอย่างด้วยตนเอง และให้คนเข้ามาใช้ และถ้าเห็นข่าวพักนี้ Apple จะไม่มีพันธมิตรแต่จะซื้อเอาเลย มันเป็นสัญญาณบอกเหตุว่า "กำลังสะสมกำลัง" เพื่อเอาคืน แต่ว่า Apple คงต้องระวังมากขึ้น เนื่องจากว่าคู่แข่งของทาง Android นั้นมีจุดแข็งที่พันธมิตรจำนวนมากทำให้งบประมาณด้านนี้ แทบจะไม่มีเลยมุ่งเน้น ทางด้านทางด้าน SDK อย่างเดียว และประชาสัมพันธ์จำนวนมากก็จะสามารถทำได้ระดับเดียวกับ apple เช่นกัน การได้เปรียบเสียเปรียบ Apple ยังคงเป็นรองอยู่อาจจะเป็นพราะระบบปิดของ Apple เองที่ทำให้จำเป็นจะต้องซื้อ และพัฒนาเอง ขณะที่ Android เป็น Open จึงไม่ต้องคำนึงด้านนี้ ขอเพียงเป็นประโยชน์ต่อ Android ไม่ว่าใครก็ยินดีทั้งนั้น
ศึกนี้ยังคงต้องจับตาดูต่อไป Apple จะทวงบัลลังค์ได้คงต้องหาวิธีไม้ตายฆ่าแม่ทัพฝั่งศัตรูให้ได้ หรือหาวิธีตัดแขนขา แย่ง Pathner เพื่อให้ความกดดันอยู่ในฝั่ง Google บ้างแต่ดูท่าที่แล้ว ถ้า Apple ยังไล่ซื้อเรื่อยไป บางทีอาจจะยากกว่าที่คิดเพราะการทำพวกนี้จำเป็นจะต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาล ซึ่งถ้าทำไม่ได้ดีอาจจะถึงกาลอวสานได้เลยทีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทิศทางแท๊บเล็ตในปี 2014-2015

ตลาด Tablet และ Smartphone เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2001 สำหรับ สมาร์ทโฟนและ Tablet ในปี 2010 จาก IPad ที่บริษัทแอบเปิ้ล นำโดย สตีฟ จ๊อบ ได้เปิดตัวขึ้น ทำให้ตลาดคอมพิวเตอร์ได้เข้าสู่ทศวรรษใหม่ทันที และตลาดแท๊บเล็ตก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน(2014) โดยมีแนวโน้มที่กลืน PC และเข้าสู่ Personal กันมากขึ้น แต่จุดด้อยของแท๊บเล็ตนั่นก็ยังมีอยู่ นั่นคือการทำงานในออฟฟิต(Office) ทั้งนี้ แม้หลายเจ้าไม่ว่าจะเป็น ซัมซุง Asus ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android จะพยายามออก Tablet ให้เข้ากับการทำงานออฟฟิตสักแค่ไหน เราจะเห็นได้ตัวอย่างคือ Galaxy Note  ที่มีรุ่นต่างๆพร้อมปากกา Stylus พร้อมกับหน้าจอใหญ่ พร้อมกับคีย์บอร์ด เช่น รุ่น Galaxy Note Pro 12 นิ้ว หรือ Asus ที่เป็นเจ้าแรกในการออกแท๊บเล็ตกับคีย์บอร์ด เช่น Asus Transformer Book 

แต่ว่า ทั้งก็ยังไม่ได้รับการแพร่หลายในการใช้งานในออฟฟิศ ซึ่งข้อนี้เอง เป็นจุดอ่อนของแท๊บเล็ต แต่ว่าความพยายามก็ยังไม่หยุด โดยคราวนี้เป็น Microsoft ที่ได้ออกมาเองโดยออก Microsoft Surface Pro3 ที่มีทิศทางชัดเจนยิ่งขึ้น โดยขยายหน้าจอเป็น 12 นิ้ว และพร้อมกับสเปกระดับ Notebook ออกมาให้เห็นเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามีแนวทางชัดเจนขึ้น แถมยังมีข้อได้เปรียบคือ ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows ที่่ยังเป็นระบบปฏิบัติการยอดฮิต ในปัจจจุบันสำหรับสำนักงาน 
นับเป็นไม้เด็ดอันนึง ของไมโครซอฟท์ ที่พยายามจะชิงตลาดในส่วนของ Tablet จอใหญ่ในสำนักงาน และนี่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Tablet สำนักงานเลยทีเดียว แม้จะมีข้อด้อยที่ยังไม่สามารถใช้กับ 3G หรือ LTE ได้ แต่ว่า หลายๆอย่างก็นับว่า พัฒนาขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าจจอคีย์บอร์ด ปากกา และ USB นับว่า ไมโครซอฟท์ทำการบ้านมาดีทีเดียว แต่อย่าลืมข้อด้อยของไมโครซอฟท์คือการตลาดที่ ช้ายิ่งกว่าเต่า อาจจะทำให้พลาดโอกาสอีกก็เป็นได้


แนวทางในปี 2014-2015 นั้นเริ่มมีแนวทางขยายเข้าสู่สำนักงานมากขึ้น คาดว่าในปีหน้า(2015) อาจจะได้เห็นนวัตกรรม สำหรับ tablet ที่ตอบสนองต่อการทำงานในสำนักงานได้อย่างดี การแสดงออกของไมโครซอฟท์ที่แสดงให้เห็นว่า ต้องการปฏิวัติวงการ Notebook อย่างชัดเจน และทำตัวเป็นคู่แข่งของผู้ผลิตหลายราย การทำตัวอย่างนี้ อาจจะทำให้ผู้ผลิตหลายรายไม่พอใจได้ แต่ว่านั่นเองก็อาจจะตรงใจไมโครซอฟท์เพราะ ตอนนี้ผู้ผลิตหลายรายก็เริ่มตีตัวออกห่างไมโครซอฟท์และระบบปฏิบัติการวินโดว์ก็ได้เริ่มได้รับแรงต้านและความนิยมน้อยลงทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นจาก ข่าวล่าสุดที่ทางการจีนไม่อนุญาตให้รัฐบาลติดตั้ง Windows 8 ทั้งหมด  หรือระบบ ATM จากประเทศต่างๆที่เริ่มหันไปใช้ ระบบปฏิบัติการ Linux มากขึ้น นี่ก็เป็นปัญหาที่ไมโครซอฟท์ต้องเพ่งเล็งให้ดี เนื่องจาก การเสียลูกค้าระดับประเทศนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามกันได้ และอาจจะทำให้คู่แข่ง อย่าง Android อาจจะมาเสียบแทบได้ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผลักดันให้ไมโครซอฟท์ต้องออก Microsoft Surface Pro3 อย่างรวดเร็วทั้งที่ก่อนหน้าที่เพิ่งออก Surface Pro2 ได้ไม่นาน และต่อมาคงจะเห็น Windows 9 ในเร็ววันก็เป็นได้ ขอย้อนกลับมาที่ทิศทางของ Tablet ซึ่งในปลายปี 2014-2015 นี้เราอาจจะได้เห็นสิ่งทีทุกคนคิดนั่นคือ IPad Pro มาเปิดตัวแข่งกับ Surface Pro ก็ได้ ซึ่งถ้ามาจริงย่อมยืนยันทิศทางของตลาดที่ชัดเจนขขึ้น เมื่อ 3 เจ้าใหญ่เริ่มกระโดดเข้ามาเล่น คู่แข่งอย่าง Acer,Asus หรือ อื่นๆ ก็ย่อมไม่หยุดนิ่ง เพราะนั่นหมายถึง ตลาดนี้จะเติบโตแทนแท๊บเล็ตสำหรับผู้บริโภคและบางทีอาจจะไปถึงระบบการศึกษาและข้าราชการทั้งหมด แน่นอนว่าตลาดที่หดตัวคงหนีไม่พ้น Laptop ที่คงจะต้องหดตัวลงแทน PC แน่นอนเทรนใหม่ครั้งนี้ น่าดูชมทีเดียวว่า จะสนุกขนาดไหน Tablet ในการทำงานที่แท้จริง จะเป็นยังไง แล้วจะมี Tablet สำหรับ Developer หรือ Gammer เกิดขึ้นหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้า จะให้เปิดตัวได้ดี จำเป้นจะต้องหดราคาลงมากกว่านี้ เนื่องจาก ราคานั้นสูงมาก สวนกับประสิทธิภาพที่เกิดขึ้น ทำให้หลายองค์กรอาจจะเลือกที่จะไม่เปลี่ยน เพราะต้นทุนนี่เองที่จะเป็นปัจจจัยหลักในการเลือกซื้อ และถ้าบริษัทไหนเล็งเห็นข้อนี้สามารถออก Tablet สำหรับ Office ที่ราคาถูกได้ละก็ เจ้าอื่นเตรียมตัวร้องได้เลยเพราะ มูลค่าตลาดนี้มหาศาลกว่าที่คิดแน่นอน หากไมโครซอฟท์เดินทิศทางไม่ดี อาจจะทำให้พลาดท่าเสียทีให้กับ Linux ระบบปฎิบัติการที่ ตอนนีดูเหมือนจะมาร้อนแรง ในหลายประเทศและเริ่มสนับสนุนโครงการ Opensource สอดคล้องกับแนวทางความต้องการของแต่ละประเทศ (รวมประเทศไทย) แต่ว่ามันก็ยังไม่จบหรอก ยังมี Android, Mac OS ที่พร้อมจะแข่งตลอดเวลา ทิศทางนี้ย่อมร้อนแรง อย่างในอดีตที่ Windows VS Mac ก็เป็นได้

นายไอที

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นวัตกรรมพิชิตฟรี IT(1)



สำหรับนวัตกรรมการพิชิตของฟรีนั้น สิ่งที่เป็นนวัตกรรมไม่ใชสิ่งใหม่แต่เป็นสิ่งที่ทำแล้วดีขึ้นจากเดิม ต่อยอดให้ดีขึ้น เช่น IPhone ฆ่า iPod เป็นต้น สำหรับนวัตกรรมใหม่ในโลกที่จะมาแทนนั้น ดูเหมือนกำลังเน้นหนักไปที่รถยนต์ไร้คนขับ(Non-Human Drive) โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาแทนซึ่ง ตอนนี้ Google ได้เปรียบที่สุด แต่ว่าใช่ว่าจะมีแต่ทางนี้ทางเดียว สำหรับนวัตกรรมที่จะมานั้นไม่ใช่แค่ Smart Car แต่ต้องนอกจากนั้นด้วย สำหรับความคิดผม Smart Car นั้นดีแน่ เพราะเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการรถยนต์ แน่นอนช่วงแรก 5-6 ปีแรก มันคงแพงมากแต่ต่อไปก็จะเป็นตามกลไลตลาดก้คือถูกลงนั่นเอง แต่ว่าสำหรับผม นวัตกรรม Smart Car ผมว่าแค่กการสื่อสารน่ะมันเล็กๆ สำหรับผมว่า นวัตกรรมรถยนต์ที่ดี ควรจะเป็นพลังงานสะอาดควบคู่ไปด้วย เพราะว่ารถยนต์นั้นถูกต่อต้านส่วนนึงจากหลายๆคนว่า เป็นสินค้าทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะปล่อยก๊าซพิษทางท่อไอเสีย สำหรับผม ถ้ามี Smart Car แล้วรถไร้คนขับ สิ่งที่ควรมีคือนวัตกรรมในการจัดการกับเครื่องยนต์หรือรถยนต์สะอาดที่ไม่ใช้พลังงานน้ำมัน ที่ปล่อยก๊าซพิษแต่ควรเป็น รถที่ปล่อยของเสียแบบใหม่ นั่นคือปล่อยออกมาเหมือนถ่ายอุจจาระคือเป็นก้อนอินทรีย์ ที่สามารถนำไปใช้เป็นสิ่งอื่นต่อไปได้ สำหรับผมการเลียนแบบบางอย่างที่ธรรมชาติให้มา นั้นไม่ใช่สิ่งน่าอายเลย การนำรถเข้าสุขารถยนต์ ผมว่าก็ไม่น่าเกลียดถ้ามันจะทำให้รถยนต์สามารถรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้  หรืออีกทางเลือกนึงที่ผมสนับสนุนนั่นคือรถยนต์พลังงาน นิวเคลียร์ หรือเบากว่านั้น ถ้ามีนวัตกรรมพลังงานแบบใหม่ โดยที่ผมสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์เพราะลดการใช้น้ำมันหากมี Smart Car ที่ควบคุมรถยนต์แทบคน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น และการใช้พลังงานนิวเคลียร์ก็ยังประหยัดอีกมากด้วย เพราะพลังงานนิวเคลียร์กก้อนเดียว ถ้ามีการจัดการที่ดี อย่างน้อยๆรถคันนึงก็ไม่ต้องเติมอีกเลยประมาณ 5 ปี และยิ่งมี Smart Car ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมตรวจสภาพรถแล้วละก็ ปัญหาเรื่องสภาพรถจะรัดกุมยิ่งขึ้น ผมจึงสนับสนุน แนวทางรถยนต์สะอาดเป็นนวัตกรรมอย่างนึงที่ แนวโน้มหลายบริษัทจะทำได้ และแน่นอนผมสนับสนุนแนวทางของ Microsoft, Apple และ Nokia สาเหตุเพราะผมศรัทธาใน ทุกสิ่งมีต้นทุน และทุกคนควรเห็นว่าต้นทุนที่แท้จริงคืออะไร ไม่ใช่ฟรีอย่างไร้เหตุผล

ยุทธการพิชิตของฟรี(2)



การพิชิตของฟรี
บริษัทส่วนใหญ่มักจะคิดว่าการพิชิตของฟรี จะต้องทำฟรีตอบ ซึ่งบอกเลยว่าคำตอบนั้นบางทีก็ไม่จริงเสมอไป  การพิชิตของฟรีทีดี่ที่สุด ณ ปัจจุบันคือ พยายามนำสิ่งที่ดีกว่า ทดแทนได้ดีกว่า และได้รับความร่วมจากผู้ผลิตรายอื่นๆ จำนวนมาก ต่างหากนั่นคือ ผู้ที่เคยทำได้แล้วคือ Apple ในการพิชิต MP3 ทำให้ตลาดการค้าเพลงสามารถกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง  โดยวิธีการคือ เริ่มจากการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งก้คือ iPOD และ iTunes จากนั้นก็ทำการร่วมมือกับผู้ผลิตหลายๆรายในตลาด ให้เกิดความเป็นปึกแผ่นโดยสามารถจำหน่ายเพลงตามที่ต้องการได้ ทำให้ MP3 เริ่มซบเซาลง ประกอบกับหลายๆรายเริ่มรณรงค์ สินค้าถูกลิขสิทธิ์มากยิ่งขึ้น สร้างความสบายใจให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นทำให้ คนเริ่มหันมาใช้ iTune และ iPod มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถเอาชนะ MP3 ได้ในที่สุด นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
ทีนี้การชนะของฟรีในโลกสมาร์ทโฟน(Android) ในความคิดส่วนตัว
(ความคิดผมเน้นหนักในการพิชิต ของฟรีที่ไม่ฟรีจริงอย่าง Android ฉะนั้นหากมีความคิดตรงข้ามกับผม ที่ชอบ Android เป็นชีวิตจิตใจไม่ควรอ่าน)
สำหรับผมในความคิดส่วนตัวนั้นผมว่ากลยุทธ์ที่จะทำให้ชนะ Android ได้ในปัจจุบันนั้นก็ยังคงเป็นทางเดียวกับที่ Jobs ทำนั่นคือ การร่วมมือและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ บริษัทที่จะทำเช่นนี้ได้ ปัจจุบันในโลก IT ไม่น่าจะพ้น Microsoft แต่ทีนี้ต้องเดินหน้าไปไกลกว่า Google 1 ก้าว ปัจจุบัน Google มีแนวทางชัดเจนคือจะขยายออกสู่ Device อื่นๆ ไม่จำกัดบน  Smartphone อีกต่อไป เพื่อปิดจุดอ่อนตรงนี้ Google จึงใช้กลยุทธ์ในการหาพันธมิตรให้มากที่สุด โดยมีทั้ง Samsung,htc,sony,acer และอื่นๆ ที่เป็นรายใหญ่ให้มาใช้ android ของตนเองเพื่อแก้ไขกลยุทธ์ในการจัดการกับของตนเอง และมันก็ได้ผลอย่างมาก แต่ว่าทางแก้ยังไม่ได้ถูกปิด 100% โดยตอนนี้ Microsoft ได้ทำการตอบโต้โดยการเริ่มปล่อยของฟรีออกมาแล้วไม่ว่าจะเป็น windows phone free และ รุกกับ service ของ android กับ nokia x แต่ว่า แค่จุดนั้นยังไม่พอ ยังเริ่มที่จะไปถึง windows in the car ซึ่งกำลังเริ่มต้นอย่างดี แต่กลยุทธ์สำหรับ smart car นั้นจะได้ผลก็ต่อเมื่อ รถเหลือราคาถูกและต่ำ เท่านั้น smart car จึงได้ผล และต้องพึ่งการส่งเสริมจากทางรัฐบาลอีกด้วย จึงไม่มีทางจะเกิดภายใน 2-3 ปีนี้แน่นอน ย้อนกลับมาที่การจะชนะ android อย่างที่ผมมบอกคือ google ปิดทางแก้ของคนอื่นไว้แล้ว แต่ว่ามันยังไม่หมดแน่นอนโดยใน smart device ต่างๆ เริ่มมีปัจจัยมากขึ้นและ smartphone มีแนวโน้จะเติบโตช้าลง กลายเป็น tablet มีบทบาทมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อนี้เองถ้าไมโครซอฟท์จับจุดได้ถูกต้อง โดยใช้วิธีการนวัตกรรมนำ และพันธมิตรตาม โดยต้องได้รับบความร่วมมือจาก apple และพันธมิตรอื่นๆ โดยแนวทางที่ดีที่สุดคือ ใช้ chat ซึ่งมีอยู่แล้วคือ skype แต่ว่ามันยังไม่พอหรอก skype นั้นมีข้อเสียตรงที่ความเสถียรในการ chat และ chat นั้นขาดซึ่ง sticker แ สดงอารมณ์ ซึ่งในเทรนปั้จจุบันนั้นฮิตมาก แต่ว่า skype กับ ใช้ได้กับองค์กรได้ดี ซึ่งจุดนี้เอง ไมโครซอฟท์ควรจะเน้นวิสัยทัศน์โฟกัสด้านการสื่อสารมากขึ้น โดยหากไม่ซื้อองค์กรใหม่ก็ควรร่วมมือกับองค์กรต่างๆมากขึ้น และพัฒนาร่วมกัน โดยหากไม่ได้ไลน์ก็ควรจะร่วมมกับ wechat ให้ได้ ซึ่งการร่วมมือข้ามแฟลตฟอร์มแบบนี้ จะทำให้ service ของ ไมโครซอฟท์พัฒนาขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องออกนัวตกรรมใหม่ ทที่เหนือกว่า smartphone ในการสื่อสารด้วย โดยให้กับ Nokia โดยการออก smartphone2.0 ที่ เริ่มนวัตกรรมใหม่ที่ โดยใจกว่าและ interactive ยิ่งกว่า พร้อมกับเชื่อม ทุกอย่างด้วย Cortana โดยให้ cortana สามารถลิงค์ข้อมูลกับ apple ได้ จะทำให้ข้อมูลเป็นก้อนเดียวกัน ทำให้สองบริษัทมีข้อมูลพอจะต่อกรกับ android ได้ และพึ่งช่องทางการขายผ่าน nokia ซึ่ง smartphone2.0 ควรจะรันบนแพลตฟอร์มใหม่ที่ ฟรี OS และ ฟรี Chat ที่ผ่าน wechat กลายเป็น chat ประจำเครื่อง และครอบครองส่วนอื่น พร้อมกับร่วมมกับ apple ให้ wechat กลายเป็นส่วนนึงของ ios และแถมมากับเครื่องโดยปริยาย ซึ่งถ้าทำได้จะทำให้เกิดแรงต่อกรครั้งใหญ่กับ android ซึ่งจะทำให้ google ต้องเริ่มสนใจ เมื่อตรงนี้เข้ามาถึงจะทำให้ ผู้ผลิต อื่นๆอย่าง acer,htc,sony,Lenovo และอื่นๆในจีนเริ่มเข้ามา เองเพราะการที่มี service พื้นฐาน พร้อมกับเปิดให้ปรับแต่งได้ในหน้าจอบางส่วนพร้อมกับใส่ feature พื้นฐานในการสื่อสาร เป็นมาตรฐานของ smartphone 2.0  ไม่ว่าจะเป็น nfc,Bluetooth ที่มีมาให้และไมโครซอฟท์ใส่ cortana ทำให้ผู้ผลิตไม่ต้องพัฒนาเอง ย่อมส่งผลให้ ดึงดูดมากขึ้น และยังเปิดโอกาสให้ OEM สามารถใส่คุณสมับติเฉพาะตัวลงไปได้ใน OS เช่น Lenovo อาจจะเพิ่มนวัตกรรมเข้าไปใหม่ที่เป็นจุดขายหลัก เช่น ระบบเชื่อมต่อ docking ที่มีคุณสมับติสื่อสาร tablet & smartphone & NB ไร้สาย 3 จอ แชร์ข้อมูลโดยความเร็วสูง พร้อมกับสั่งพิมพ์ออกเครือ่งพิมพ์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ผ่าน Cloud อีกต่อไป ซึ่งการเปิดให้สามารถเพิ่มจุดเด่นของแต่ละ OEM จะทำให้ดึงดูดพันธมิตรมาได้ง่ายขึ้น