หลายคนคงรู้จักกับ Windows และมีประสบการณ์ที่ทั้งดีและไม่ดีทั้งหลายปนกันไป Windows เกิดจากบริษัท Microsoft มีประวัติศาสตร์ยาวนานก่อตั้งมาหลัง Apple เล็กน้อย แต่ทว่าความสำเร็จไม่น้อยหน้ากันเท่าไร วันนี้เดินหน้ามาถึงคำว่า One Windows จะเป็นเช่นไร และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญจะเป้นยังไงเชิญติดตามกันที่นี่เลยครับ
https://www.blognone.com/node/59429
นายไอที
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ windows แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ windows แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557
PC ยังไม่ตาย !!!!
หลังจากมีอุปกรณ์ Smart Device มากมายที่ออกมาในช่วง 2-3 ปีนี้ เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วขึ้นมากไม่ว่าจะเป็น Smart Phone, Tablet, Smart Wearable และ กำลังจะมี Smart Car ตามมา แต่เชื่อไหมอุปกรณ์ที่เริ่มต้นอย่าง PC นั้นจะยังไม่ตาย ทำไมน่ะหรอ? สาเหตุผมจะอธิบายให้เห็น ดังนี้นะครับ
PC ในทีนี้รวมถึง NB ด้วยนะครับ
1) PC มีความสามารถที่สุงกว่า Smart Device ทั้งหมด ความสามารถในทีนี้คือความแรงของเครื่องและการใช้งาน โดย PC สามารถใช้งานหนักๆ เปิดเครื่องได้นานและมีความจุของอุปกรณ์ที่มากทำให้ การทำหลายๆ ที่ยังคงต้องใช้ PC เป็นหลักอยู่ดี
2) เกมบน PC มีกราฟฟิกสวยงามและเอื้อนักพัฒนา ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อนึงที่เกื้อหนุน PC อยู่สาเหตุเพราะการเล่นเกมหนักๆที่มีการประมวลผลสูงๆ ยังเอื้อต่ออุปกรณ์ PC อยู่มาก แม้จะน้อยลงแต่ว่าตลาดเกมบน PC กลับไม่ได้กระทบเท่าไรนักเนื่องจากนักเล่นเกมมือโปรก็ยังเล่นเกมหนักๆบน PC ไม่เปลี่ยนไม่ว่าเทรนเทคโนโยโลยีจะออกเพิ่มเติมยังไง
3) กราฟฟิกประมวลผล ตัดต่อหนัง/วีดีโอ ยังไงก็ต้องพึ่ง PC เพราะการ์ดจอที่มีการแสดงผลและการประมวลผลอย่างรวดเร็วทางที่ดีที่สุดก็ยังหนีไม่พ้น PC อยู่ดี
4) Developer ยังไงก็หนีไม่พ้น PC สาเหตุเพราะว่า นักพัฒนาต้องการเครื่องที่มีกำลังสูงและหน้าจอที่ใหญ่ และการใช้เมาส์ พ้อยที่แม่นยำ การใช้ Touchscreen และการพัฒนาบน Tablet คงจะไม่เอื้อเท่าไรนัก
5) การใช้งาน Office เช่นการประชุม Conference ยังไงก็ต้องพึ่ง PC อยู่ สาเหตุเพราะการประมวลผลและ Internet ประจำสถานที่/บ้าน ยังเร็วกว่า Internet ประเภท 3G,4G และต้นทุนต่ำมาก การใช้ Conference บน PC ผ่าน Skype หรือ Hangout ก็ถือเป็นจุดขายที่ดีกว่านั่งมองผ่านจอเล็กๆ การประมวลผลที่เร็วกว่าย่อมทำให้การสื่อสารไม่พลาดได้
6) เครื่องปริ๊น PC มีการเข้าถึงเครื่องพิมพ์ที่หลากหลายกว่า อุปกรณ์ Smart Device หลายชิ้นยังคงใช้พิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์ไม่ได้แต่ PC มีการรองรับที่เพียบพร้อมไว้แล้ว ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นจุดที่ทำให้ PC ยังคงอยู่ต่อไป
7) การพิมพ์และการใช้เมาส์ ปฏิเสธไมไ่ด้เลยว่าการพิมพืและการใช้ Mouse เป็นจุดสำคัญของการใช้งาน PC แม้หลายคนจะบอกมันล้าสมัยไปแล้ว แต่ลองนึกๆดู การพิมพ์บนคีย์บอร์ดยังไงก็เร็วกกว่าการพิมพ์ผ่านหน้าจอเล็กๆ แน่นอน พร้อมกับการใช้เมาส์ก็ยังทำงานได้หลากหลายกว่าการใช้ Touchcscreen ด้วย ฉะนั้นหากยังไม่มีเทคโนโลยีในการทดแทน Mouse และ Keyboard ละก็คงยากแน่นอน
8) Server ที่ยังใช้อุปกรณ์ของ PC ซึ่งนี่ก็เป็นข้อนึงที่ยังไงก็เอื้อมากกว่า สำหรับ PC โดยเฉพาะเลยเนื่องจากต้นทุนที่สูง และค่าใช้จ่ายที่สูงการประมวลผลที่เร็ว จึงจะต้องใช้ PC ต่อไป บางคนสามารถใช้ PC เป็น Server ได้เลยทีเดียว
อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด PC ยังไม่ตายแน่นอน เพียงแต่เทรนต่างๆที่สื่อประโคมเข้ามาทำให้คิดว่ามันเริ่มตายจากไปแต่มันผิด เพราะมันแค่ลดลงเนื่องจากมีอุปกรณ์บางอย่างมาทำงานแทนมันในบางฟังก์ชันที่มันด้อยลงเช่น การพกพาไปในทุกสถานที่ การเช็คอีเมล์หรืออ่านข่าวหรือการแชท แต่ข้อดีของ PC ก็ยังหนีไม่พ้นอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผล การพิมพ์การใช้เมาส์หรือการทำงานด้านกราฟฟิก งานหนักๆอย่างนี้ยังไงก็หนีไม่พ้น PC อยู่ดี จึงกล้าบอกว่ามันยังไม่ตายแน่นอนตราบใดที่ยังต้องการอยู่ ขณะเดียวกัน ราคาPC ก็จะสูงขึ้นด้วยตามหลัก Demand / Supply เพราะ Demand ต่ำลง การผลิตก็น้อยลงแต่อยู่ตัวมากยิ่งขึ้น ผู้ผลิตรายเล็กๆลดลง เหลือแต่รายใหญ่เท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Lenovo นั่นเองที่ทำกำไรจาก PC ได้อยู่ ฉะนั้นอย่าเพิ่งมอง PC เป็นของล้าหลังตราบใดที่เราขาดมันไม่ได้ แต่ขอให้มองให้ออกว่า มันใช้งานอะไรเหมาะกับเราตรงไหน แล้วจะทำให้สามารถเลือกใช้ได้ถูกต้อง
นายไอที
PC ในทีนี้รวมถึง NB ด้วยนะครับ
1) PC มีความสามารถที่สุงกว่า Smart Device ทั้งหมด ความสามารถในทีนี้คือความแรงของเครื่องและการใช้งาน โดย PC สามารถใช้งานหนักๆ เปิดเครื่องได้นานและมีความจุของอุปกรณ์ที่มากทำให้ การทำหลายๆ ที่ยังคงต้องใช้ PC เป็นหลักอยู่ดี
2) เกมบน PC มีกราฟฟิกสวยงามและเอื้อนักพัฒนา ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อนึงที่เกื้อหนุน PC อยู่สาเหตุเพราะการเล่นเกมหนักๆที่มีการประมวลผลสูงๆ ยังเอื้อต่ออุปกรณ์ PC อยู่มาก แม้จะน้อยลงแต่ว่าตลาดเกมบน PC กลับไม่ได้กระทบเท่าไรนักเนื่องจากนักเล่นเกมมือโปรก็ยังเล่นเกมหนักๆบน PC ไม่เปลี่ยนไม่ว่าเทรนเทคโนโยโลยีจะออกเพิ่มเติมยังไง
3) กราฟฟิกประมวลผล ตัดต่อหนัง/วีดีโอ ยังไงก็ต้องพึ่ง PC เพราะการ์ดจอที่มีการแสดงผลและการประมวลผลอย่างรวดเร็วทางที่ดีที่สุดก็ยังหนีไม่พ้น PC อยู่ดี
4) Developer ยังไงก็หนีไม่พ้น PC สาเหตุเพราะว่า นักพัฒนาต้องการเครื่องที่มีกำลังสูงและหน้าจอที่ใหญ่ และการใช้เมาส์ พ้อยที่แม่นยำ การใช้ Touchscreen และการพัฒนาบน Tablet คงจะไม่เอื้อเท่าไรนัก
5) การใช้งาน Office เช่นการประชุม Conference ยังไงก็ต้องพึ่ง PC อยู่ สาเหตุเพราะการประมวลผลและ Internet ประจำสถานที่/บ้าน ยังเร็วกว่า Internet ประเภท 3G,4G และต้นทุนต่ำมาก การใช้ Conference บน PC ผ่าน Skype หรือ Hangout ก็ถือเป็นจุดขายที่ดีกว่านั่งมองผ่านจอเล็กๆ การประมวลผลที่เร็วกว่าย่อมทำให้การสื่อสารไม่พลาดได้
6) เครื่องปริ๊น PC มีการเข้าถึงเครื่องพิมพ์ที่หลากหลายกว่า อุปกรณ์ Smart Device หลายชิ้นยังคงใช้พิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์ไม่ได้แต่ PC มีการรองรับที่เพียบพร้อมไว้แล้ว ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นจุดที่ทำให้ PC ยังคงอยู่ต่อไป
7) การพิมพ์และการใช้เมาส์ ปฏิเสธไมไ่ด้เลยว่าการพิมพืและการใช้ Mouse เป็นจุดสำคัญของการใช้งาน PC แม้หลายคนจะบอกมันล้าสมัยไปแล้ว แต่ลองนึกๆดู การพิมพ์บนคีย์บอร์ดยังไงก็เร็วกกว่าการพิมพ์ผ่านหน้าจอเล็กๆ แน่นอน พร้อมกับการใช้เมาส์ก็ยังทำงานได้หลากหลายกว่าการใช้ Touchcscreen ด้วย ฉะนั้นหากยังไม่มีเทคโนโลยีในการทดแทน Mouse และ Keyboard ละก็คงยากแน่นอน
8) Server ที่ยังใช้อุปกรณ์ของ PC ซึ่งนี่ก็เป็นข้อนึงที่ยังไงก็เอื้อมากกว่า สำหรับ PC โดยเฉพาะเลยเนื่องจากต้นทุนที่สูง และค่าใช้จ่ายที่สูงการประมวลผลที่เร็ว จึงจะต้องใช้ PC ต่อไป บางคนสามารถใช้ PC เป็น Server ได้เลยทีเดียว
อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด PC ยังไม่ตายแน่นอน เพียงแต่เทรนต่างๆที่สื่อประโคมเข้ามาทำให้คิดว่ามันเริ่มตายจากไปแต่มันผิด เพราะมันแค่ลดลงเนื่องจากมีอุปกรณ์บางอย่างมาทำงานแทนมันในบางฟังก์ชันที่มันด้อยลงเช่น การพกพาไปในทุกสถานที่ การเช็คอีเมล์หรืออ่านข่าวหรือการแชท แต่ข้อดีของ PC ก็ยังหนีไม่พ้นอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผล การพิมพ์การใช้เมาส์หรือการทำงานด้านกราฟฟิก งานหนักๆอย่างนี้ยังไงก็หนีไม่พ้น PC อยู่ดี จึงกล้าบอกว่ามันยังไม่ตายแน่นอนตราบใดที่ยังต้องการอยู่ ขณะเดียวกัน ราคาPC ก็จะสูงขึ้นด้วยตามหลัก Demand / Supply เพราะ Demand ต่ำลง การผลิตก็น้อยลงแต่อยู่ตัวมากยิ่งขึ้น ผู้ผลิตรายเล็กๆลดลง เหลือแต่รายใหญ่เท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Lenovo นั่นเองที่ทำกำไรจาก PC ได้อยู่ ฉะนั้นอย่าเพิ่งมอง PC เป็นของล้าหลังตราบใดที่เราขาดมันไม่ได้ แต่ขอให้มองให้ออกว่า มันใช้งานอะไรเหมาะกับเราตรงไหน แล้วจะทำให้สามารถเลือกใช้ได้ถูกต้อง
นายไอที
วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
แนวทางใหม่แห่งความท้าทายของ Windows
Windows ถูกทิ้งล้าหลังมาตั้งแต่เกิดยุคของ Smart Device ที่กลายเป็นเรียกว่ายุคหลัง PC (Post back PC) ทำให้ วินโดว์ก็เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำตั้งแต่นั้นมา แม้พยายามจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นยังไงก็ยังไม่มีแนวทางจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ล่าสุดปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ทำการเปลี่ยน CEO คนใหม่ขึ้น การเปลี่ยนCEO นี้เริ่มส่งผลให้เห็นชัดหลายอย่างเริ่มจากการที่ใส่ใจกับ Windows มากขึ้นและหันไปหาธุรกิจบริการมากขึ้นกว่าเดิม นั่นคือ Office และ AZure และจับกับ Smart Phone นั่นคือการซื้อ Nokia และ Windows Phone ครั้งนี้จะมีการพัฒนา Windows 9 ที่จะรวมกันทุก OS ให้สามารถแบ่งความสามารถให้ใช้งานได้ทั้ง Smart Device และ Desktop ซึ่งถือว่าเป็นการเอาจุดแข็งของ Windows ที่มีทำให้ดีขึ้นน แต่จะสำเร็จรึเเปล่านั้นอีกเรื่อง แต่ตอนนี้ที่น่ากลัวของไมโครซอฟ์ทคือ การล้าหลังในธุรกิจ ข้อนี้เกิดขึ้นกับไมโครซอฟท์อีกครั้ง ในธุรกิจของ ยานยนต์ Google และ Apple เริ่มมีแนวทางใหม่ในการเปิดธุรกิจนั่นคือ Smart Car ที่จะทำรายได้มหาศาลหากสำเร็จแต่ ข่าวคราวของ Microsoft ยังไม่มีทางให้เห็น
มาดูกันว่าหาก Smart Car เกิดจะทำรายได้มหาศาลขนาดไหน
ปัจจุบันธุรกิจรถยนต์ มีมูลค่ามหาศาล ทั่วโลกมีการใช้งานมากมาย กว่า 10 ล้านคัน และธุรกิจยานยนต์ก็เริ่มมาถึงทางตัน การผลิตที่รวดเร็ว เริ่มไม่ตอบสนองต่อผุ้ผลิตอีกต่อไป แนวทางต่อไปนั่นคือการนำ IT เข้ามารวมกับรถยนต์ ก่อให้เกิดเป็น Smart Car รถยนต์ที่มีความเป็น AI มากขึ้น
ขีดขั้นสูงสุดของ Smart Car คงหนีไม่พ้นการขับอัตโนมัติ การตอบสนองผู้ขับขี่อย่างทันใจรวมถึง สร้างความบันเทิงภายในรถยนต์ Smart Car นั่นจะให้ดี ต้องแก้ปัญหาอย่างนึงที่จะเกิดทั่วโลกเมื่อรถยนต์บูม นั่นคือปัญหาเรื่อง "ที่จอดรถ" Smart Car เมื่อบวกกับเทคโนโลยี Transformer ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น จะทำให้แก้ปัญหาที่จอดรถได้ แต่แน่นอนว่า การทำเช่นนี้จะมีต้นทุนมหาศาลและคงจะไม่มีใครลงทุนแน่นอน
การทำสินค้าของ Smart Car ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า เป็นเส้นทางที่ท้าทายของ Windows ที่จะทำให้เกิด Smart Car บนระบบปฏิบัติ Windows ที่แพร่หลายได้
มาดูกันว่าหาก Smart Car เกิดจะทำรายได้มหาศาลขนาดไหน
ปัจจุบันธุรกิจรถยนต์ มีมูลค่ามหาศาล ทั่วโลกมีการใช้งานมากมาย กว่า 10 ล้านคัน และธุรกิจยานยนต์ก็เริ่มมาถึงทางตัน การผลิตที่รวดเร็ว เริ่มไม่ตอบสนองต่อผุ้ผลิตอีกต่อไป แนวทางต่อไปนั่นคือการนำ IT เข้ามารวมกับรถยนต์ ก่อให้เกิดเป็น Smart Car รถยนต์ที่มีความเป็น AI มากขึ้น
ขีดขั้นสูงสุดของ Smart Car คงหนีไม่พ้นการขับอัตโนมัติ การตอบสนองผู้ขับขี่อย่างทันใจรวมถึง สร้างความบันเทิงภายในรถยนต์ Smart Car นั่นจะให้ดี ต้องแก้ปัญหาอย่างนึงที่จะเกิดทั่วโลกเมื่อรถยนต์บูม นั่นคือปัญหาเรื่อง "ที่จอดรถ" Smart Car เมื่อบวกกับเทคโนโลยี Transformer ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น จะทำให้แก้ปัญหาที่จอดรถได้ แต่แน่นอนว่า การทำเช่นนี้จะมีต้นทุนมหาศาลและคงจะไม่มีใครลงทุนแน่นอน
การทำสินค้าของ Smart Car ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า เป็นเส้นทางที่ท้าทายของ Windows ที่จะทำให้เกิด Smart Car บนระบบปฏิบัติ Windows ที่แพร่หลายได้
วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ทิศทางแท๊บเล็ต 2014-2015(2) - ลมเปลี่ยนทิศ การดิ้นรน
หลังจากที่ผม เคยบอกว่าทิศทางแท๊บเล็ตปี 2014-2015 จะมีทิศทางของการทำงานเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นนั่นคือ แท๊บเล็ตขนาดใหญ่ กว่า 10 นิ้ว ทีจะมีเข้ามีบทบาทในการทำงานออฟฟิตมาขึ้น แต่ทีนี้มันยังไม่จบแค่นั้น เมื่อไตรมาสที่ 2-3 ปี 2014 เริ่มมีสัญญาณของ ลมที่โหมเข้ามาใหม่ ตั้งแต่ ราชาแท๊บเล็ตอย่าง iPad ที่ Apple เริ่มผ่าทางตันด้วยการ ล่อภาษาใหม่จัดการกับ Segment ตัวเองใหม่ และ Windows ที่เริ่มใส่ใจกับการตลาดมากขึ้นหันมา เอาใจใส่กับ Windows ฟรี ทำให้แท๊บเล็ตวินโดวส์ราคาถูกออกมามากขึ้น การโหมกระหน่ำของลมนี้แม้จะยังไม่กระทบกับ android มากนัก เพราะต้องเรียกว่าราคาแห่ง Smart Device ปัจจุบันอย่าง Android นั้นพัฒนาไปมาก สำหัรบผู้ใช้งานทั่วไปในความบันเทิงความสะดวกสบาย มันใกล้จุดที่จะเรียกว่าสุดๆของ Tablet,SmartPhone แล้วทำให้ การเปลี่ยนแปลงเวอร์ชั่นใหม่ต้องใช้สมองคิดอย่างมากแต่กลับอีกสองจ้าวกำลังไล่ตามอยู่ จึงมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ผมจะบอกว่าท้ายปี 2014-2015 เราอาจจะได้เห็นรูปแบบใหม่ของ Tablet มากขึ้น โดยสิ่งที่จะเห็นคือ นวัตกรรมด้านพลัง อย่าง Apple ที่พัฒนาโดยตลอดไม่หยุดยั้งกับความแรงของ Tablet ซึ่งปกติ iOS ที่ม่จุดเด่นด้านความเสถียรของ OS สุดยอด และกินสเปกพอประมาณ คราวนี้อัพสเปกไปในระดับสุดๆอีก กับ 4 Core และ หน้าจอแบบสุดยอดละเอียด(อาจจะนะ) เพื่อกรุยทางสู่การเชื่อมต่อ 3 Device อย่างสมบูรณ์นั่นคือ Mac,iPhone,iPad และ iCloud ก่อให้เกิดการใช้งานอย่างไม่สะดุดเชื่อมต่อทุกเวลาและอัตโนมัติ จุดนี้ Apple มีโอกาสทำได้มากสุดเพราะ ทุกอย่างเริ่มจากตัวเองและจบที่ตัวเอง ไม่พึ่งพันธมิตรมากนัก และ Windows คู่แข่งที่พยายามถีบตัวเองเพื่อกินส่วนแบ่งของ Tablet บ้าง ตอนนี้ Windows คงยังหาจุดเด่นของตัวเองไม่เจอ ก็ได้แต่ส่งแนวทางการตลาดต่อไปเพื่อหาจุดที่ลูกค้าต้องการจาก Windows จริงๆ ช่ว่งปีหน้าอาจจะเห็น Tablet Windows ราคาถูกมากมาย ไม่ต้องแปลกใจพวกนี้ยังหาจุดเด่นไม่ได้ ต้องการอย่างเดียวเพื่อเจาะตลาดก่อนว่าทิศทางที่ต้องการจริงๆจะเป็นแนวไหน ซึ่งแนวทางที่ดีของ Windows นั้น คือแนวทางเดียวกับ Apple แต่ว่า อุปสรรคมันมากกว่าตรงนี้เขาเป็นระบบกึ่งเปิดกึ่งปิด ทำให้การรวมทุกอย่างมันยากกว่า จริงๆ จุดแข็งของ Windows ถ้าจะทำให้ดี ควรจะมองว่าผู้บริโภคมอง Windows คือทุกอย่าง ที่คอมพิวเตอร์ทำได้ แต่เขาไม่ทับใจตรงที่มันทำไม่ได้อย่างที่ใจเขาคิด การใช้งานที่ยุ่งยากและเรียนรู้ใหม่ทำให้การประทับใจ Windows ตกลง ทั้งที่ควรจะทำได้ ถ้า Windows ลดจุดการเรียนรู้ข้อง Windows ลงและเพิ่มจุดขายเล็กๆ ตรงที่ เชื่อมต่อให้หมดก่อนระหว่าง Android,Windows,iOS โดยสร้างเป็น Windows Desktop Link เชื่อมหมดเป็น App นึงแต่ใส่จุดขายที่ Windows จะทำงานได้มากกว่า แต่พวกนั้นก็ไม่น้อยกว่าจะทำให้ Windows กลับมาน่าสนใจอีกครั้งนึง แต่แน่นอนว่ามันคือแนวคิดผมเท่านั้น ก็ว่ากันต่อไป
ของ Android นั้น ทิศทางของ Google เปลี่ยนไปแล้ว Google ได้ขยายโอกาสให้ตัวเองมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมทั่วโลกอย่างแท้จริง โดยขยายทั้งบริการทางอินเตอร์เน็ตและขยายสู่ อุปกรณ์ชนิดอื่นโดยเน้นอยางแรกที่ รถยนต์ก่อน ทิศทางของปี 2014-2015 จึงไม่หวือหวาแต่ปี 2016 อาจจะได้เห็นอุปกรณ์ Android ในสิ่งที่อัศจรรย์เลยทีเดียว
ผมจะบอกว่าท้ายปี 2014-2015 เราอาจจะได้เห็นรูปแบบใหม่ของ Tablet มากขึ้น โดยสิ่งที่จะเห็นคือ นวัตกรรมด้านพลัง อย่าง Apple ที่พัฒนาโดยตลอดไม่หยุดยั้งกับความแรงของ Tablet ซึ่งปกติ iOS ที่ม่จุดเด่นด้านความเสถียรของ OS สุดยอด และกินสเปกพอประมาณ คราวนี้อัพสเปกไปในระดับสุดๆอีก กับ 4 Core และ หน้าจอแบบสุดยอดละเอียด(อาจจะนะ) เพื่อกรุยทางสู่การเชื่อมต่อ 3 Device อย่างสมบูรณ์นั่นคือ Mac,iPhone,iPad และ iCloud ก่อให้เกิดการใช้งานอย่างไม่สะดุดเชื่อมต่อทุกเวลาและอัตโนมัติ จุดนี้ Apple มีโอกาสทำได้มากสุดเพราะ ทุกอย่างเริ่มจากตัวเองและจบที่ตัวเอง ไม่พึ่งพันธมิตรมากนัก และ Windows คู่แข่งที่พยายามถีบตัวเองเพื่อกินส่วนแบ่งของ Tablet บ้าง ตอนนี้ Windows คงยังหาจุดเด่นของตัวเองไม่เจอ ก็ได้แต่ส่งแนวทางการตลาดต่อไปเพื่อหาจุดที่ลูกค้าต้องการจาก Windows จริงๆ ช่ว่งปีหน้าอาจจะเห็น Tablet Windows ราคาถูกมากมาย ไม่ต้องแปลกใจพวกนี้ยังหาจุดเด่นไม่ได้ ต้องการอย่างเดียวเพื่อเจาะตลาดก่อนว่าทิศทางที่ต้องการจริงๆจะเป็นแนวไหน ซึ่งแนวทางที่ดีของ Windows นั้น คือแนวทางเดียวกับ Apple แต่ว่า อุปสรรคมันมากกว่าตรงนี้เขาเป็นระบบกึ่งเปิดกึ่งปิด ทำให้การรวมทุกอย่างมันยากกว่า จริงๆ จุดแข็งของ Windows ถ้าจะทำให้ดี ควรจะมองว่าผู้บริโภคมอง Windows คือทุกอย่าง ที่คอมพิวเตอร์ทำได้ แต่เขาไม่ทับใจตรงที่มันทำไม่ได้อย่างที่ใจเขาคิด การใช้งานที่ยุ่งยากและเรียนรู้ใหม่ทำให้การประทับใจ Windows ตกลง ทั้งที่ควรจะทำได้ ถ้า Windows ลดจุดการเรียนรู้ข้อง Windows ลงและเพิ่มจุดขายเล็กๆ ตรงที่ เชื่อมต่อให้หมดก่อนระหว่าง Android,Windows,iOS โดยสร้างเป็น Windows Desktop Link เชื่อมหมดเป็น App นึงแต่ใส่จุดขายที่ Windows จะทำงานได้มากกว่า แต่พวกนั้นก็ไม่น้อยกว่าจะทำให้ Windows กลับมาน่าสนใจอีกครั้งนึง แต่แน่นอนว่ามันคือแนวคิดผมเท่านั้น ก็ว่ากันต่อไป
ของ Android นั้น ทิศทางของ Google เปลี่ยนไปแล้ว Google ได้ขยายโอกาสให้ตัวเองมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมทั่วโลกอย่างแท้จริง โดยขยายทั้งบริการทางอินเตอร์เน็ตและขยายสู่ อุปกรณ์ชนิดอื่นโดยเน้นอยางแรกที่ รถยนต์ก่อน ทิศทางของปี 2014-2015 จึงไม่หวือหวาแต่ปี 2016 อาจจะได้เห็นอุปกรณ์ Android ในสิ่งที่อัศจรรย์เลยทีเดียว
วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557
E-book VS หนังสือปกติ
จากที่ผมได้อ่านข่าววันนี้ที่ เว็บบล๊อกนันในหัวเกี่ยวกับตลาดของ E-book ข่าวนั้นระบุเกี่ยวกับ B2S ผู้ขายหนังสือและเครื่องเขียนรายใหญ่เข้าซื้อหุ้น 75% ของ MEB เว็บขาย E-book ชื่อดัง(ลิงค์) เลยย้อนกลับมาที่ตัวเองซึ่งก็เป็นคนนึงที่ชอบแต่ E-book มากๆ แต่ไม่ชอบอ่านหนังสือปกติเลย (อ่านทีไรหลับตลอดยกเว้นหนังสือคอมพิวเตอร์) ทำให้ผมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ E-book ออกมาครับ แและ E-Book นี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับ IT เช่นกัน
วิวัฒนาการของการอ่านหนังสือนั้นมีมาตั้งแต่เริ่มมีคอมพิวเตอร์เลย คอมพิวเตอร์กับการอ่านหนังสือนั้นเริ่มมีคู่กันมาตั้งแต่ PC,Notebook และล่าสุดก็แท๊บเล็ต ซึ่งการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตก็เป็นปัจจัยนึงที่สำคัญในการเลือกแท๊บเล็ต ผมคนนึงก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือกับคอมพิวเตอร์และติดใจการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตมาก และเหตุผลแรกที่ผมซื้อแท๊บเล็ตก็คือเอามาอ่านหนังสือนั่นเอง สำหรับผม การอ่านหนังสือบแท๊บเล็ตคือสิ่งที่ผมเรียกว่า มันคือวิวัฒนาการของหนังสือขั้นนึง แน่นอนว่าหลายคนๆก็ไม่ชอบข้อนี้ เพราะการอ่านหนังสือกับหนังสือปกติไม่ใช่แท๊บเล็ตก็ยังมีคนชอบอยู่มาก ผมได้ถามเพื่อนๆหลายคนที่ชอบอ่านหนังสือและรวบรวมออกมาสรุปได้มีเหตุผลหลักๆก็คือ
หนังสือ อิเล็กทรอนิก(E-book)
จากที่เห็นข้อดีข้อเสียในการอ่านหนังสือ บน Tablet แล้ว ก็คงพอจะทำให้หลายๆคนพอจะพิจารณาได้ว่าจะเอาแท๊บเล็ตมาอ่านหนังสือดีหรือไม่ อย่างไรบ้าง ผมหวังวว่ามันจะช่วยระดับนึงนะครับ เพราะต้องคำนึงด้วยว่า ช่องว่างของเทคโนโลยีมาช่วยทดแทนจุดด้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางทีการอ่านข้ามหน้าที่ตอนนี้ไม่ว่าโปรแกรมไหน ก็จะต้องจิ้มเกินสองครั้ง อาจจะต้องไม่จิ้มเลยก็ได้แค่ออกเสียงเอา
ผมมีความเห็นว่า เราควรอนุรักษ์หนังสือไว้ แต่ก็ควรจะเอาหนังสือเหล่านั้นสแกนมาเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์ข้อความและความรู้ไว้ใน Server และเผยแพร่ให้กับทุกคนได้อ่าน เพราะข้อดีของไฟล์ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ควรจะปฏิเสธซะเลยทีเดียว แค่นำสองอย่างมาไว้ก็พอครับ
สำหรับแท๊บเล็ตที่แนะนำในการอ่าน E-book คงแนะนำตัวใดตัวหนึ่งก็คงไมไ่ด้ แต่ผมแนะนำให้ซื้อหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไปครับ แต่ไม่ควรเกิน 12" ครับ
เว็บไซต์ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ E-book ครับ
1) MEB - www.mebmarket.com
2) OOKBee0- http://www.ookbee.com/
3) SEED - https://www.se-ed.com/e-books.aspx
วิวัฒนาการของการอ่านหนังสือนั้นมีมาตั้งแต่เริ่มมีคอมพิวเตอร์เลย คอมพิวเตอร์กับการอ่านหนังสือนั้นเริ่มมีคู่กันมาตั้งแต่ PC,Notebook และล่าสุดก็แท๊บเล็ต ซึ่งการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตก็เป็นปัจจัยนึงที่สำคัญในการเลือกแท๊บเล็ต ผมคนนึงก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือกับคอมพิวเตอร์และติดใจการอ่านหนังสือบนแท๊บเล็ตมาก และเหตุผลแรกที่ผมซื้อแท๊บเล็ตก็คือเอามาอ่านหนังสือนั่นเอง สำหรับผม การอ่านหนังสือบแท๊บเล็ตคือสิ่งที่ผมเรียกว่า มันคือวิวัฒนาการของหนังสือขั้นนึง แน่นอนว่าหลายคนๆก็ไม่ชอบข้อนี้ เพราะการอ่านหนังสือกับหนังสือปกติไม่ใช่แท๊บเล็ตก็ยังมีคนชอบอยู่มาก ผมได้ถามเพื่อนๆหลายคนที่ชอบอ่านหนังสือและรวบรวมออกมาสรุปได้มีเหตุผลหลักๆก็คือ
- หนังสือเก่าเหมาะแก่การเก็บสะสม และอนุรักษ์ไว้
- การอ่านหนังสือกับหนังสือปกติ มันได้อารมณ์กว่าการอ่านกับแท๊บเล็ต
- ชินกับการอ่านหนังสือปกติมากกว่า เราสามารถเปิดในหน้าที่จำได้ โดยที่จะไม่ต้องจำหน้า แค่ขั้นหน้าไว้หรือ เปิดๆแบบเร็วๆก็ได้
ผมขอสรุปข้อดีของการการอ่านหนังสือแบบแท๊บเล็ตหรือ E-Book กับการอ่านแบบปกตินะครับ
หนังสือปกติ
หนังสือปกติ
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
|
1)
ยิ่งหนังสือมาก ยิ่งเปลืองพื้นที่มาก
2)
หนังสือมีอายุเก่า ตามสภาพวันและเวลา
3)
ต้องสรรหาอุปกรณ์ในการเก็บรักษา
4)
การฉีดขาดของหน้ากระดาษ
ที่จำเป็นจะต้องถนออมและเปิดเบาๆ
5)
การพิมพ์บางสำนักพิมพ์ไม่ได้มาตรฐานทำให้บางเล่มขาดง่ายและหลุดเป็นแผ่นๆ
6) หนังสือบางเล่มใช้ตัวหนังสือเล็กทำให้ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ
7) อ่านในที่มืดๆ ไม่ได้เพราะไม่มีแสงสว่างในตัว
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
|
1. ไม่สามารถ Highlight แถวหรือขีดเส้นได้หรือมาร์ดใดๆลงไปได้
2. หาที่ซื้อหนังสือยังน้อย ต้องหาซื้อเช่น ที่เว็บMEB,OOkbee
3. การอัพเดตหนังสือใหม่ยังช้า
4. การชำระเงินในการซื้อยังไม่สะดวก
5. อุปกรณ์บางชนิดยังทำร้ายสายตาเมื่ออ่านนานๆ
6. การขั่นหน้าที่เราอ่าน เราต้องจำตัวเลขไว้ ซื้อถ้าเป็นหนังสือปกติการอ่านข้ามหน้าไม่จำเป็นจะต้องจำตัวเลข
|
จากที่เห็นข้อดีข้อเสียในการอ่านหนังสือ บน Tablet แล้ว ก็คงพอจะทำให้หลายๆคนพอจะพิจารณาได้ว่าจะเอาแท๊บเล็ตมาอ่านหนังสือดีหรือไม่ อย่างไรบ้าง ผมหวังวว่ามันจะช่วยระดับนึงนะครับ เพราะต้องคำนึงด้วยว่า ช่องว่างของเทคโนโลยีมาช่วยทดแทนจุดด้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางทีการอ่านข้ามหน้าที่ตอนนี้ไม่ว่าโปรแกรมไหน ก็จะต้องจิ้มเกินสองครั้ง อาจจะต้องไม่จิ้มเลยก็ได้แค่ออกเสียงเอา
ผมมีความเห็นว่า เราควรอนุรักษ์หนังสือไว้ แต่ก็ควรจะเอาหนังสือเหล่านั้นสแกนมาเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์ข้อความและความรู้ไว้ใน Server และเผยแพร่ให้กับทุกคนได้อ่าน เพราะข้อดีของไฟล์ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ควรจะปฏิเสธซะเลยทีเดียว แค่นำสองอย่างมาไว้ก็พอครับ
สำหรับแท๊บเล็ตที่แนะนำในการอ่าน E-book คงแนะนำตัวใดตัวหนึ่งก็คงไมไ่ด้ แต่ผมแนะนำให้ซื้อหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไปครับ แต่ไม่ควรเกิน 12" ครับ
เว็บไซต์ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ E-book ครับ
1) MEB - www.mebmarket.com
2) OOKBee0- http://www.ookbee.com/
3) SEED - https://www.se-ed.com/e-books.aspx
วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ASP.NET MVC(C#) ตอน 1
ASP.NET MVC(C#)
ตอนที่ 1 รู้จัก MVC
MVC ย่อมาจาก Model – View –
Controller 3 ตัวนี้ มีความหมายและหน้าที่ของมัน
Model คือ
ส่วนสำหรับใช้ติดต่อฐานข้อมูล ส่วนใหญ่ Developer จะใช้เก็นคำสั่งพวกก
Insert,Update,Delete, Select ลงใน Folder นี้โดยแยกเป็น Class สำหรับติดต่อฐานข้อมูลโดยเฉพาะและ
Object ที่ใช้สำหรับ Insert สู่ ตารางต่างๆ
โดยส่วนตัวตรงนี้ผมชอบผลักให้ไปกับ Entity Framework เพราะทำให้การ
Manage ง่ายดี
View คือ ส่วนสำหรับหน้าจอแสดงผล ใน ASP.net
MVC ที่ใช้ RAZOR จะเป็น .cshtml ใน Visual Studio จะไม่มีหน้า Design ให้เหมือนกับ Web Form
Controller คือส่วนของการเชื่อมเพื่อแสดงผลระหว่าง
Model และ View โดยใน ASP.net
MVC จะอยู่ใน Folder Controller และสามารถ Add
Controller ได้เลย ภายใน Controller จะมี Action
อยู่ภายใน แต่ละAction จะเชื่อมต่อกับ View
1 View
อ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่
MVC คือ Pattern หนึ่งในการดีไซน์และพัฒนา Software โดยส่วนใหญ่จะเน้นการพัฒนาผ่านบนเว็บ
MVC ไม่ได้ถูกจำกัดแค่อยู่บน .NET เท่านั้นแต่สามารถใช้ได้กับหลายภาษา
เท่าที่ผมรู้ก็จะมี PHP ที่มี Framework MVC จำนวนมาก JAVA ก็ไม่น้อย และ.NET ที่มี .NET Framework คอย Provide ไว้ให้
ASP.net
Web Form VS ASP.NET MVC
Topic
|
Web Form
|
MVC
|
โครงสร้าง Solution
|
มีแค่ Designer กับ C#
|
มี 3 แบบคือ Model,
View, Controller
|
รูปแบบภาษา
|
ใช้ได้ทั้ง VB.net แล C#.net
|
ใช้ได้ทั้ง VB.net แล C#.net
|
การติดต่อฐานข้อมูล
|
ไม่จำกัด Tool ขึ้นอยู่กับ Tool
ที่ใช้กับ .net ได้
|
ไม่จำกัด Tool ขึ้นอยู่กับ Tool
ที่ใช้กับ .net ได้ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่จะเก็บไว้ที่
Folder Model
|
Html
Design
|
มีหน้า HTML Design ให้ใน Visual
Studio
|
ไม่มีหน้า Designer สำหรับ HTMLให้
|
การ Include File
|
จะต้องสร้างเป็น user Control(.asmx) แล้วลากเข้ามาใส่ในดีไซน์
|
สามารถสร้างเป็น Shared หรือ Partial
จากนั้น ใส่คำสั่งในการ Include เข้ามาได้
ตาม Syntax
|
ASP.NET
CONTROL FORM
|
สามารถลากวางใช้ จากหน้า Designer ได้เลย
|
สำหรับ MVC ไมโครซอฟฟท์
จัดให้หลายชุดคำสั่งมากและง่ายต่อการดึงมาใช้ แต่ต้องพิมพ์เอา
|
Javascript
Ajax
|
เขียนปกติ
|
เขียนปกติ
|
Ajax
Tookit
|
มีให้
|
ไม่มีให้
|
เวลาในการพัฒนาสำหรับเริ่มใหม่
|
Bad
|
Normal
|
เวลาในการพัฒนาสำหรับผู้เป็น .Net WebForm
|
Fast
|
Normal
|
หลาย Developer
|
Bad
|
Good
|
การวาง Pattern ในการพัฒนา
|
ยาก
|
ง่าย สาเหตุเพราะ มี Pattern พื้นฐานได้ส่วนนึง แค่ตั้งชื่อและติดต่อฐานข้อมูลให้พร้อม
|
RESTful
Service
|
No
|
Yes
|
ViewState
|
Yes
|
No
|
ViewBag
|
No
|
Yes
|
Performance
|
Good
|
Normal
|
Server
Support ในไทย
|
มีครบทั่วเพราะเป็นพื้นฐาน
|
ต้องสอบถามบางที่
|
Learning
Curve
|
Normal
|
Good
|
Upgrade
Version
|
Easy
|
Easy
|
นี่คือเปรียบเทียบเบื้องต้น
จากประสบการณ์ในการพัฒนาโดยตรงและหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ
สาเหตุที่ต้องพัฒนาด้วย MVC
- ข้อได้เปรียบสำหรับเริ่มโปรเจคใหม่คือ Pattern ในการพัฒนาที่ชัดเจนกว่า Web Form กับการวาง Pattern แบบ Model, View, Controller เปรียบเสมือนการวาง ครบเป็น Module ที่ง่ายต่อการ จัดการพัฒนาหลายๆคนพร้อมกับ
- ยืนหยุ่นกับ Developer มาก ทำให้การพัฒนาเร็ว และแม้จะไม่ชำนาญด้านการพัฒนาสำหรับ .Net ก็สามารถจัดการส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้ง่าย
- หากวาง Style ในการเขียนและตั้งชื่อตัวแปร แล้ว ผู้ต่อนั้นง่ายมาก
- เรียนรู้ง่ายและไว
- สามารถ Plug กับ Pattern อื่นได้ง่ายเช่น Repository, Invention of Control หรือ อื่นๆ
- เขียน RESTful Service ได้ดี ง่ายต่อการเขียนติดต่อกับ Cross Platform
ลิงค์เพิ่มเติมสำหรับ Asp.net MVC
http://sinosoi.wordpress.com/2011/07/14/asp-net-mvc-01-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/
http://www.microsoft.com/thailand/msdn/ASPNET_MVC3_HTML5_Vol1.aspx
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ทิศทางแท๊บเล็ตในปี 2014-2015
ตลาด Tablet และ Smartphone เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2001 สำหรับ สมาร์ทโฟนและ Tablet ในปี 2010 จาก IPad ที่บริษัทแอบเปิ้ล นำโดย สตีฟ จ๊อบ ได้เปิดตัวขึ้น ทำให้ตลาดคอมพิวเตอร์ได้เข้าสู่ทศวรรษใหม่ทันที และตลาดแท๊บเล็ตก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน(2014) โดยมีแนวโน้มที่กลืน PC และเข้าสู่ Personal กันมากขึ้น แต่จุดด้อยของแท๊บเล็ตนั่นก็ยังมีอยู่ นั่นคือการทำงานในออฟฟิต(Office) ทั้งนี้ แม้หลายเจ้าไม่ว่าจะเป็น ซัมซุง Asus ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android จะพยายามออก Tablet ให้เข้ากับการทำงานออฟฟิตสักแค่ไหน เราจะเห็นได้ตัวอย่างคือ Galaxy Note ที่มีรุ่นต่างๆพร้อมปากกา Stylus พร้อมกับหน้าจอใหญ่ พร้อมกับคีย์บอร์ด เช่น รุ่น Galaxy Note Pro 12 นิ้ว หรือ Asus ที่เป็นเจ้าแรกในการออกแท๊บเล็ตกับคีย์บอร์ด เช่น Asus Transformer Book
ที่มา http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/Galaxy-Note-10-1-G031-620x4001.jpg
แต่ว่า ทั้งก็ยังไม่ได้รับการแพร่หลายในการใช้งานในออฟฟิศ ซึ่งข้อนี้เอง เป็นจุดอ่อนของแท๊บเล็ต แต่ว่าความพยายามก็ยังไม่หยุด โดยคราวนี้เป็น Microsoft ที่ได้ออกมาเองโดยออก Microsoft Surface Pro3 ที่มีทิศทางชัดเจนยิ่งขึ้น โดยขยายหน้าจอเป็น 12 นิ้ว และพร้อมกับสเปกระดับ Notebook ออกมาให้เห็นเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามีแนวทางชัดเจนขึ้น แถมยังมีข้อได้เปรียบคือ ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows ที่่ยังเป็นระบบปฏิบัติการยอดฮิต ในปัจจจุบันสำหรับสำนักงาน
นับเป็นไม้เด็ดอันนึง ของไมโครซอฟท์ ที่พยายามจะชิงตลาดในส่วนของ Tablet จอใหญ่ในสำนักงาน และนี่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Tablet สำนักงานเลยทีเดียว แม้จะมีข้อด้อยที่ยังไม่สามารถใช้กับ 3G หรือ LTE ได้ แต่ว่า หลายๆอย่างก็นับว่า พัฒนาขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าจจอคีย์บอร์ด ปากกา และ USB นับว่า ไมโครซอฟท์ทำการบ้านมาดีทีเดียว แต่อย่าลืมข้อด้อยของไมโครซอฟท์คือการตลาดที่ ช้ายิ่งกว่าเต่า อาจจะทำให้พลาดโอกาสอีกก็เป็นได้
แนวทางในปี 2014-2015 นั้นเริ่มมีแนวทางขยายเข้าสู่สำนักงานมากขึ้น คาดว่าในปีหน้า(2015) อาจจะได้เห็นนวัตกรรม สำหรับ tablet ที่ตอบสนองต่อการทำงานในสำนักงานได้อย่างดี การแสดงออกของไมโครซอฟท์ที่แสดงให้เห็นว่า ต้องการปฏิวัติวงการ Notebook อย่างชัดเจน และทำตัวเป็นคู่แข่งของผู้ผลิตหลายราย การทำตัวอย่างนี้ อาจจะทำให้ผู้ผลิตหลายรายไม่พอใจได้ แต่ว่านั่นเองก็อาจจะตรงใจไมโครซอฟท์เพราะ ตอนนี้ผู้ผลิตหลายรายก็เริ่มตีตัวออกห่างไมโครซอฟท์และระบบปฏิบัติการวินโดว์ก็ได้เริ่มได้รับแรงต้านและความนิยมน้อยลงทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นจาก ข่าวล่าสุดที่ทางการจีนไม่อนุญาตให้รัฐบาลติดตั้ง Windows 8 ทั้งหมด หรือระบบ ATM จากประเทศต่างๆที่เริ่มหันไปใช้ ระบบปฏิบัติการ Linux มากขึ้น นี่ก็เป็นปัญหาที่ไมโครซอฟท์ต้องเพ่งเล็งให้ดี เนื่องจาก การเสียลูกค้าระดับประเทศนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามกันได้ และอาจจะทำให้คู่แข่ง อย่าง Android อาจจะมาเสียบแทบได้ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผลักดันให้ไมโครซอฟท์ต้องออก Microsoft Surface Pro3 อย่างรวดเร็วทั้งที่ก่อนหน้าที่เพิ่งออก Surface Pro2 ได้ไม่นาน และต่อมาคงจะเห็น Windows 9 ในเร็ววันก็เป็นได้ ขอย้อนกลับมาที่ทิศทางของ Tablet ซึ่งในปลายปี 2014-2015 นี้เราอาจจะได้เห็นสิ่งทีทุกคนคิดนั่นคือ IPad Pro มาเปิดตัวแข่งกับ Surface Pro ก็ได้ ซึ่งถ้ามาจริงย่อมยืนยันทิศทางของตลาดที่ชัดเจนขขึ้น เมื่อ 3 เจ้าใหญ่เริ่มกระโดดเข้ามาเล่น คู่แข่งอย่าง Acer,Asus หรือ อื่นๆ ก็ย่อมไม่หยุดนิ่ง เพราะนั่นหมายถึง ตลาดนี้จะเติบโตแทนแท๊บเล็ตสำหรับผู้บริโภคและบางทีอาจจะไปถึงระบบการศึกษาและข้าราชการทั้งหมด แน่นอนว่าตลาดที่หดตัวคงหนีไม่พ้น Laptop ที่คงจะต้องหดตัวลงแทน PC แน่นอนเทรนใหม่ครั้งนี้ น่าดูชมทีเดียวว่า จะสนุกขนาดไหน Tablet ในการทำงานที่แท้จริง จะเป็นยังไง แล้วจะมี Tablet สำหรับ Developer หรือ Gammer เกิดขึ้นหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้า จะให้เปิดตัวได้ดี จำเป้นจะต้องหดราคาลงมากกว่านี้ เนื่องจาก ราคานั้นสูงมาก สวนกับประสิทธิภาพที่เกิดขึ้น ทำให้หลายองค์กรอาจจะเลือกที่จะไม่เปลี่ยน เพราะต้นทุนนี่เองที่จะเป็นปัจจจัยหลักในการเลือกซื้อ และถ้าบริษัทไหนเล็งเห็นข้อนี้สามารถออก Tablet สำหรับ Office ที่ราคาถูกได้ละก็ เจ้าอื่นเตรียมตัวร้องได้เลยเพราะ มูลค่าตลาดนี้มหาศาลกว่าที่คิดแน่นอน หากไมโครซอฟท์เดินทิศทางไม่ดี อาจจะทำให้พลาดท่าเสียทีให้กับ Linux ระบบปฎิบัติการที่ ตอนนีดูเหมือนจะมาร้อนแรง ในหลายประเทศและเริ่มสนับสนุนโครงการ Opensource สอดคล้องกับแนวทางความต้องการของแต่ละประเทศ (รวมประเทศไทย) แต่ว่ามันก็ยังไม่จบหรอก ยังมี Android, Mac OS ที่พร้อมจะแข่งตลอดเวลา ทิศทางนี้ย่อมร้อนแรง อย่างในอดีตที่ Windows VS Mac ก็เป็นได้
นายไอที
วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
แนวทางการพัฒนา Application Mobile
สำหรับแนวทางในการพัฒนา Appplication Mobile มีแนวทางที่ ตอนนี้ กำลังฮิตอยู่ 2 แนวทางคือ Native และ HTML5 จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ในการพัฒนาผมจึงเขียนเปรียบเทียบให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสีย ของแต่ละแนวทางให้เห็นกัน
เปรียบเทียบ Native
VS Html5
Topic
|
HTML5
|
Native
|
ความเร็วในการแสดงผล
|
Y
|
|
ความเร็วในการพัฒนา
|
Y
|
|
Reuse
Code
|
Y
|
|
ความซับซ้อนในการพัฒนา
|
Y
|
|
Tool
ในการพัฒนา
|
DRAW
|
DRAW
|
การจัดการหน้าจอ
|
Y
|
|
SQLite
|
Y
|
|
Thread
Programming
|
Y
|
|
Design
หน้าจอ
|
Y
|
ปัจจัยที่ทำให้ประมวลผลช้าในการพัฒนาด้วย
HTML5
- ขนาดของ HTML ยิ่งมีขนาดใหญ่จะทำให้ App ช้าลง เพราะต้องโหลดมากขึ้น
- การ Include javascript,css ที่ไม่จำเป็น จะมีผลกับการประมวลผลของ App มาก
- ความเร็วของอินเตอร์เน็ต
สรุป
ถ้าการพัฒนา
Application
บน Mobile นั้นสะดวกสุด ตัวเลือกคือ
HTML5 เนื่องจากเหตุผลว่า การพัฒนาที่ง่ายและการ Reuse Code ทำให้เหมาะกับการพัฒนา Application Cross Plat form ที่สามารถใช้ได้ทั้ง
Windows,IOS,Android และการดีไซน์หน้าจอที่ใช้ HTML +CSS ทำให้การทดสอบและออกแบบหน้าจอไม่ได้ซับซ้อน
อธิบายเพิ่มเติม
สำหรับการพัฒนา
Application
บน Mobile โดยใช้รูปแบบของ Native Application
จะมีข้อเสียสำคัญดังนี้
- ความซับซ้อนในการพัฒนาและการจัดการหน้าจอแสดงผล ด้วยการเขียนโค้ดที่พึ่งพาภาษา Java และ Tool Eclipse ที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย Eclipse มีความฉลาดน้อย ทำให้การพัฒนาต้องพึ่งนักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญในการวาง Pattern อย่างดี เพื่อให้ความง่ายและเป็นระเบียบในการพัฒนา
- การดีไซน์หน้าจอที่ ยุ่งยากเกินไป และต้องทำถึงสองครั้ง โดยการทำแบบ Portrait และ Landscape ขณะที่ HTML5 จะมีโค้ดที่ Responsive ที่สามารถใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาดไหน
- การต้องหา Component สำหรับแสดงผล เช่นการแสดง กราฟ แสดงผลที่ไม่มี Support จำเป็นต้อง หาเป็น Open source เข้ามา
ข้อดีของ
Native
1) การทำ
Thread
Programming และการแสดงผลที่เร็ว ในการแสดงแต่ละหน้า Page ทำให้ เหมาะกับการพัฒนา Application ขนาดใหญ่
ที่มีการประมวลผล จำนวนมาก
2)
การติดต่อฐานข้อมูลและการทำ Backgroud
Process โดย Native App จะมีการใช้ SQLite
รองรับเต็มมรูปแบบ แต่ส่วนของ HTML5 ยังไม่มีการเปิดใช้เต็มรูปแบบทำให้หลีกเลียงไปใช้
WebStorage ประเภท LocalStroage แทนแต่ว่าก็ยังทดแทนได้ไม่เต็มที่นัก
สำหรับการพัฒนาด้วย
HTML5
จะมีข้อเสียดังนี้
1) ไม่เหมาะกับ
App
ที่ต้องมีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากๆ เนื่องจาก การประมวลผลของ Javascript
ไปยัง Server จะช้ากว่าของ Native ทำให้การใช้ข้อมูลจำนวนมากๆ ยกตัวอย่างเช่นการทำแอพพลิเคชั่น Social
Network ขนาดใหญ่อย่าง Facebook จึงไม่เหมาะ
เพราะการทำ Thread แบ่ง Thread ใน HTML5
นั้นทำได้ยาก ขณะเดียวกันใน Native กับทำด้านนี้ได้ดีกว่า
2) ไม่มีฐานข้อมูลรองรับ
ต้องพึ่งพา WebStorage เป็นหลัก
3) มาตรฐาน
HTML5
ยังไม่สมบูรณ์
4) ต้องพึ่งการ
Compile
จาก Phonegap อีกที ทำให้การแสดงผลช้ากว่าของ Native
5) การทดสอบ
Debugger
ทำไม่ได้ง่ายๆ
ข้อดีของ HTML5
1) ความยืดหยุ่นในการพัฒนา
โดยการยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถ Cross-Platform ได้ง่ายและด้วยมาตรฐาน
HTML5+Javascript+CSS ที่โปรแกรมเมอร์หลายคนในไทยมีความรู้ความเข้าใจทำให้แก้ไขและต่อยอดได้ง่าย
2) ระยะเวลาในการพัฒนาเร็วกว่าของ
Native
3) การจัดการหน้าจอด้วยแท๊ก
HTML5
ทำให้การพัฒนาง่ายและเร็ว พร้อมกับมี Concept Responsive ที่เขียนทีเดียวสามารถใช้ได้ทั้งหน้าจอแบบ Portrait และ
Landscape เลย
4) Component
ของทาง JQuery มีมาก ทำให้การค้นหา Tool
ไม่ยุ่งยาก
5) ไม่ต้องใช้ความรู้ในการพัฒนาสูง
สามารถแยกงานกันทำได้โดยแยกเป็นส่วนของ Service และ Client ได้ ในส่วนของ Client ถ้ามีการใช้ concept MVVM ก็จะทำให้การแสดงผลง่ายขึ้นอีก
และ Service ก็ไม่ต้องใช้ผู้ชำนาญมาก
การ
Connect
Server
Native
App และ HTML5 สามารถ Connect ได้โดยการ Connect ผ่าน RESTful เซอร์วิสที่ ต้องมี Server
ไว้ประมวลผล ทั้งนี้การพัฒนา Native App จะได้ประสิทธิภาพมากกว่าเพราะ
ผู้ขียนส่วนใหญ่มักจะสร้าง Database SQLite ไว้ที่ App
ทำใหเวลาใช้ App จะไม่ได้ connect กับทาง Server เพื่อแสดงผลตลอดทุกครั้งแต่จะมีการแบ่งโดย
Connect เข้าสู่ SQLite เพื่อแสดงผล
จากนั้นจะทำการประมวลผลเบื้องหลังโดยการ Connect กับทาง Server
ผ่าน Process อีกทางเพื่อ Synchronize ข้อมูลเข้าสู่ฐานข้อมูล SQLite ทำให้การแสดงผล
นั้นจะเร็วกว่า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)