ความเร็วในการสื่อสารถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตในยุค Internet 3G,4G และ กำลังจะไปถึง 5G การเข้าถึงเครื่องมื่อสื่อสารที่ง่ายขึ้นเพราะ โทรศัพท์มีราคาถูกลงมาก และอินเตอร์เน็ตก็เข้าถึงได้ง่ายทำการสื่อสารไม่จำเป็นต้องอยู่บนโทรศัพท์อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา แท๊บเล็ต หรือ PC สิ่งเหล้านี้สามารถทำให้เป็นการสื่อสารได้ทั้งสินขอเพียงมี Application เท่านั้นเอง แต่วันนี้ไม่ได้จะมาบอกหรอกนะครับถึงโลกแห่งการสื่อสารเป็นยังไง แต่จะมาชี้ให้เห้นถึงคุณและโทษของมัน
จากข่าวที่ดูช่วงหลายเดือนมานี้ จะเห็นข่าวที่มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายมากมายแพร่ออกไปตามสื่ออินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น ข่าว ผู้สื่อข่าวเล่นชู้ การคุณเจนี่กับคุณเอ๋ เลิกกันแล้วหรือเปล่า? หรือก่อนหน้าจะเป็นข่าวการเมืองที่ร้อนแรงอย่าง จำนำข้าว ข่าวอาชญากรรมที่น่ากลัวอย่าง ข่าวฆาตกรฆ่าน้องแก้ม และล่าสุดข่าวโค้ชเชกับนักกีฬาก้อย ซึ่งทั้งหมดนี้ ชนวนแรกเริ่มเดิมทีนั้น สิ่งเหล่านี้แพร่ไปอย่างรวดเร็วเกิดจากอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผ่าน Twitter,pantip,sanook,facebook,line โดยสิ่งเหล่านี้ถึงผุ้คนได้อย่างไร ก็ผ่านเครื่องมือ Smart Device ต่างๆ ที่สามารถออกอินเตอร์เน็ตได้นั่นเอง
ข้อดีของอินเตอร์เน็ตมีมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีข้อเสียเลยซะทีเดียว ผมจะขอแสดงให้เห็นถึงข้อเสียที่จะเกิดจากการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตง่ายดายบ้างนะครับ
1) การเผยแพร่ที่รวดเร็วเกินไปทำให้ ยากจะเข้าถึงแหล่งที่มาที่แท้จริง ข่าว ที่แพร่ออกไปไม่แน่ว่าจะเป้นข่าวจริง ข่าวหลายๆข่าว ที่แพร่ออกมานั้นผู้แพร่ข่าวบางทีก็เขียนขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของบุคคลาสาธารณะต่างๆ เป็นข่าวจริงหรือข่าวเสร็จ ก็ไม่สามารถทราบได้รู้แต่เพียงผู้รับสารนั้น บางคนมีอคติในใจอยุ่แล้ว ยิ่งพอเจอบางข่าวที่ไม่ทราบที่มา แต่แค่ผ่านมาทางโลกออนไลน์ ก็ทำให้เชื่อไปแล้วโดยขาดสติได้ ข้อนี้เป็นข้อควรระวังอย่างนึงเพราะ การทะเลาะเบาะแว้งเข้าใจผิดกัน เกิดได้ง่ายขึ้น สาเหตุเพราะการเข้าถึงที่รวดเร็วเกิดเป็น Viral อย่างรวดเร็ว กว่าจะแก้ข่าวได้ก็ทำให้แย่กันแล้ว
2) ความเสียหายร้ายแรง การเผยแพร่เพื่อทำลายชื่อเสียงก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และยากจะกู้ชื่อเสียงกลับมาได้โดยง่าย
3) คนเบื่อ เมื่อสิ่งที่เผยแพร่ออกมาจากสื่อ หากไม่สามารถวัดได้ก็จะทำให้ ผู้เสพสื่อเริ่มเบื่อและเริ่มรู้สึกว่า เดี่๋ยวมันก็เป็นแค่กระแสที่จางหายไป ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนเริ่มไม่เชื่อถือในข่าว ซึ่งหากข่าวที่ออกมาเป็นความจริง กว่าจะถึงเวลานั้นก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้
4) เปลือง การสิ้นเปลืองเกิดมากขึ้นจากการเข้าถึงสื่ออินเตอร์เน็ต ที่มีโฆษณามากมาย ดึงดูดให้ผู้ใช้งานออนไลน์หันมาช๊อปปิ้งมากยิ่งขึ้น การชำระผ่านบัตรเครดิตออนไลน์ที่ ผู้ใช้งานบางคนขาดสติเนื่องจากความสะดวกสบายนี้เอง การเข้าถึงสื่อและโฆษณารวดเร็วการช๊อปและจ่ายที่รวดเร็ว ทำให้เกิดวัฒนธรรมการใช้ของที่สิ้นเปลือง เพราะของที่ออกมาใหม่นั้นเร็วมากและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วขึ้นทั่วโลก ความล้าสมัย เกิดขึ้นเร็วจึงเกิดความสิ้นเปลืองตามมานั่นเอง
5) ห่างไกลจากสังคม ข้อนี้เป็นข้อเสียอย่างมาก สังคมที่ว่านี้ไม่ใช่สังคมออนไลน์แต่มันคือสังคมใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง ญาติ หรือคนรัก นั่นเพราะการสื่อสารเข้าถึงง่าย ทำให้คนหมกมุ่นแต่อยู่ในโลกออนไลน์ ซึ่งคนไทยเอง ก็เปราะบางกับเทคโนโลยีอย่างมาก นิสัยโดนพื้นฐานมักชอบเสพข่าวที่กำลังดัง และแสดงความคิดเห็นและรอเสียงตอบรับจากความคิดเห็นที่โพสหรือแสดงลงไป ซึ่งจะทำให้จับจ่ออยู่กับหน้าจอทั้งวัน ทำให้เกิดโลกส่วนตัวสูง และห่างไกลจากเพื่อนฝูงมากยิ่งขึ้น ข้อนี้จะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับนักเทคโนโลยีมากนักสาเหตุเพราะ เขาจะเข้าใจถึง โลกออนไลน์และโลกปกติดีนั่นเอง
6) ขาดจริยธรรม การขาดจริยธรรมเป็นหนึ่งในข้อเสียของการสื่อสารที่เข้าถึงกันง่ายเกินไป สาเหตุเพราะเด็กรุ่นใหม่เริ่มอยากให้คนอื่นเห็นตัวเองสำคัญมากยิ่งขึ้นจึงได้แสดงความคิดเห็นผ่านโลกออนไลน์ โดยที่อยากให้คนสนับสนุนตัวเอง ซึ่งการแสดงความคิดเห็นนี้เองบางอย่างก็ไม่ได้ไตร่ตรองจริยธรรมให้ดีซะก่อน ทำให้เกิดการทำร้ายคนอื่น แต่ว่าเมื่อแสดงความคิดเห็นลงไปแล้วกลับมีบางคนสนับสนุน ทำให้เด็กๆเหล่านี้เข้าใจว่า สิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกแล้ว แม้จะละเมิดในสิทธิคนอื่นหรือทำร้ายคนอื่นก็ตาม ขอเพียงมีคนตามนั่นคือถูกแล้ว ซึ่งข้อนี้ต้องแก้ไขกันอย่างแรง จริยธรรมเป็นสิ่งที่จะทำให้สังคมอยู่ได้อย่างเป็นสุข มันคือสิ่งที่แบ่งแยกความเป็นคนออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น และทำให้รู้จัผิดชอบชั่วดี จะสังเกตว่า คนที่เข้าถึงจริยธรรมไม่ได้นั่นสุดท้ายก็จะเดือดร้อนเสมอเพราะอะไร? นั่นเพราะว่า การกระทำย่อมต้องมีดอกและผล หากเราช่วยเหลือคน ก็จะมีคนช่วยเหลือเรา แต่หากเราทำร้ายคน ก็จะต้องมีการระแวงเสมอว่าจะมีคนทำร้ายเราคืนบ้าง ข้อนี้คนขาดจริยธรรมจะไม่คิด และเมื่อก่อน ไม่กล้าแสดงออกเพราะการสื่อสารโลกออนไลน์ยังไม่มีแต่ปัจจุบันมันเขา้ถึงได้ง่ายขึ้น การกระทำต่างๆ จึงง่ายมากขึ้น มั่นใจขึ้น และเริ่มสนใจจริยธรรมน้อยลง สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขและไตร่ตรองให้ดี
นี่คือสิ่งที่ผมเห็นและวิเคราะห์ให้ชัดเจนถึงข้อดีและข้อเสียของการเข้าถึงการสื่อสารที่รวดเร็วนะครับ จริงๆยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การละเมิดลิขสิทธิ์ การประจานสู่สังคม หรือ การเข้าถึงเว็บโป๊ได้ง่ายดาย ล้วนแล้วแต่เป้นทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งสิ้น
สำหรับผมนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการรู้จักไตร่ตรองก่อนจะทำอะไร คิดถึงใจเขาใจเราและไตร่ตรองสักหน่อย อินเตอร์เน็ตมีข้อดีอนัน แต่ข้อเสียมันอาจจะทำให้เราถึงขนาดอยู่ในสังคมไม่ได้เลยก็ได้นะ
ฉะนั้นคิดดีๆครับผม
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผลกระทบ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผลกระทบ แสดงบทความทั้งหมด
วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ปัญหาที่แท้จริงของการโดนคว่ำบาตรกับ IT
หากบอกว่า ปัญหาการคว่ำบาตรนั้น เป็นเรื่องเล็กๆ เราไม่ต้องง้อประเทศที่คว่ำบาตรเราก็ได้ ข้อนั้นถูกต้องเลย หากเราเป็นประเทศใหญ่ อย่างจีนคงไม่ต้องเสียเวลาไปง้อให้เสียเวลา แต่แน่นอนเราไม่ใช่ข้อนั้นตัดทิ้งได้เลย ทีนี้การคว่ำบาตรนั้นจะกระทบยังไง?
สิ่งแรกที่อยากให้เบาใจก่อนครับ การคว่ำบาตรมันมีหลายระดับ ตั้งแต่การคว่ำบาตรทางรัฐ การคว่ำบาตรทางการค้า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มีหลายระดับอยู่พอสมควร ผมจะโฟกัสผลกระทบการคว่ำบาตรนะครับ ผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือ ถ้า USA มันแบรนเราแค่ประเทศเดียว เราอาจจะบอกไม่เป็นไร กรูไม่กลัว เราอาจจะเลิกกินหลายๆอย่างของเขา เลิกใช้ของหลายๆอย่างของเขาถ้าาเป็น USA แต่เผอิญว่า มันไม่ใช่แค่นั้น นั่นแหละปัญหา? แล้วไม่ใช่ยังไง คิดง่ายๆครับ ถ้า USA คว่ำบาตร แล้วประเทศอื่นล่ะที่เป็นพันธมิตร อาจจะต้องรวมยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้เข้าไปด้วยเพราะประเทศกลุ่มนี้ เป็นพันธมิตรสหรัฐและเป็นประชาธิปไตย เริ่มเห็นผลกระทบมากขึ้นแล้วใช่ไหมครับ? ยังหรอกครับ ยังไม่ชัด ยังมีอีกครับ
อาวุธสำคัญของโลกตะวันตก เช่น USA และ EU ที่มีต่อไทยคือ ภาษา วัฒนธรรมและเทคโนโลยี
มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยถ้าไม่ใช่ 3 อย่างนี้ อย่าลืมถ้าการคว่ำบาตรเกิดขึ้น เริ่มแรกการร่วมมือทางรัฐจะไม่เกิดขึ้น นั่นหมายถึงทางการค้าเราคงจะเริ่มมีปัญหา แต่มันไม่หยุดแค่นั้นถ้าเกิดคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการค้าและประเทศอื่นทำตาม สิ่งที่ตามมาล่ะ? มันใหญ่หลวงอยู่พอสมควรนะ
การคว่ำบาตรเนี่ย ถ้าไม่นาน คงไม่ต้องไปเสียเวลาคิด แต่ถ้าเกิดมัน 10 ปีล่ะ?
เทคโนโลยีหลายๆอย่างเรารับมาจากประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ มือถือ และภาษาที่ใช้ ถ้าเกิดวันนึงเราต้องเปลี่ยนทุกอย่างเป็นภาษาจีนหรือรัสเซียลองคิดดูว่าจะกระทบขนาดไหน? บ้านเราแม้มีการส่งเสริมให้คนอ่านเขียนภาษาจีนและรัสเซียจำนวนมากแต่ภาษาราชการหลายๆอย่างก็ยังเป็นภาษาอังกฤษ แล้วผมอยากให้คิดอย่างนึง หลายๆคนอาจจะบอกเราก็พึ่งจีนสิ หึหึ อยากจะให้ไปถามคนรุ่นก่อนๆ ซะหน่อยว่า คุณไม่อายหรอ เพราะเมื่อก่อนคนไทยดูถูกคนจีนมาก จนมีคำด่า "ลุกเจ๊ก" เลยทีเดียว วินาทีนี้คิดจะพึ่งเขา หึหึ ผมอยากจะหัวเราะจริงๆ แต่มันไม่เกี่ยวกับ IT นินะ นอกเรื่องไปแระกลับมาๆ ต่อนะครับ คือการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหัน มันทำให้ เทคโนโลยีหยุดนิ่ง ระบบปฏิบัติการที่ใช้อยู่ปัจจุบันจำเป็นจะต้องหยุดทุกอย่าง และหาทางใหม่ อาจจะต้องเลิกใช้ Windows และให้ไปใช้ Linux หรือ Baidu อย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหา แต่ผมบอกเลยเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทาง การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ ไม่ให้เกิดการคว่ำบาตรเกิดขึ้น
ยุคนี้ยุคแห่งการสื่อสารไร้ขอบเขต ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือใช้และบางคนถึงกับใช้ Smartphone แน่นอนสิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรมทางตะวันตกที่ส่งมาถึง การคว่ำบาตรจะมีผลต่อทางนี้แน่นอน ถ้าเกิดการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยี เราอาจจะติดต่อกับทางนั้นได้ยากขึ้นรับรู้ได้ยากขึ้น ข่าวสารจะถูกปิดกั้น IT ที่ควรจะถูกส่งมาก็จะถูกหยุดลง โดยพื้นฐานประเทศไทยก็ไม่ใช่ผู้พัฒนาแต่เป็นผู้รับอยุ่แล้ว หากผู้รับไม่ได้รับจากผู้ให้ และไม่มีใครให้เรา เราก็ต้องใช้ในสิ่งที่เรามีอยู่ อาจจะไม่ถึงกับเดือดร้อน แต่ว่าเราจะหยุดการพัฒนาโดยทันที ฉะนั้นผมภาวนาอย่าให้เลยเถิดไปถึงขั้นนั้นเลย
การคว่ำบาตรไม่มีผลดีกับใครเลยผมไม่อยากให้เกิดการหยุดพัฒนาทางเทคโนโลยี ด้าน IT ที่สุด ในฐานะที่เป็นคนบ้า IT คนนึง ชื่นชอบการพัฒนาของมือถือ คอมพิวเตอร์ เข้าใจและหลงใหล จึงไม่อยากให้หยุดการพัฒนาด้านนี้ที่สุดและมีจุดยืดที่ชัดเจนคือ การเปิดกว้าง เทคโนโลยี ไม่เคยหยุดนิ่งแต่ตัวเราตังหากที่ไม่สามารถตามมันได้ทัน แต่จงอย่าหยุดเรียนรู้ เพราะสิ่งใหม่ๆรอเราอยู่ ต้องเรียนรู้ไม่หยุดแล้วจะรู้ว่ามันสนุกแค่ไหน
สิ่งแรกที่อยากให้เบาใจก่อนครับ การคว่ำบาตรมันมีหลายระดับ ตั้งแต่การคว่ำบาตรทางรัฐ การคว่ำบาตรทางการค้า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มีหลายระดับอยู่พอสมควร ผมจะโฟกัสผลกระทบการคว่ำบาตรนะครับ ผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือ ถ้า USA มันแบรนเราแค่ประเทศเดียว เราอาจจะบอกไม่เป็นไร กรูไม่กลัว เราอาจจะเลิกกินหลายๆอย่างของเขา เลิกใช้ของหลายๆอย่างของเขาถ้าาเป็น USA แต่เผอิญว่า มันไม่ใช่แค่นั้น นั่นแหละปัญหา? แล้วไม่ใช่ยังไง คิดง่ายๆครับ ถ้า USA คว่ำบาตร แล้วประเทศอื่นล่ะที่เป็นพันธมิตร อาจจะต้องรวมยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้เข้าไปด้วยเพราะประเทศกลุ่มนี้ เป็นพันธมิตรสหรัฐและเป็นประชาธิปไตย เริ่มเห็นผลกระทบมากขึ้นแล้วใช่ไหมครับ? ยังหรอกครับ ยังไม่ชัด ยังมีอีกครับ
อาวุธสำคัญของโลกตะวันตก เช่น USA และ EU ที่มีต่อไทยคือ ภาษา วัฒนธรรมและเทคโนโลยี
มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยถ้าไม่ใช่ 3 อย่างนี้ อย่าลืมถ้าการคว่ำบาตรเกิดขึ้น เริ่มแรกการร่วมมือทางรัฐจะไม่เกิดขึ้น นั่นหมายถึงทางการค้าเราคงจะเริ่มมีปัญหา แต่มันไม่หยุดแค่นั้นถ้าเกิดคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการค้าและประเทศอื่นทำตาม สิ่งที่ตามมาล่ะ? มันใหญ่หลวงอยู่พอสมควรนะ
การคว่ำบาตรเนี่ย ถ้าไม่นาน คงไม่ต้องไปเสียเวลาคิด แต่ถ้าเกิดมัน 10 ปีล่ะ?
เทคโนโลยีหลายๆอย่างเรารับมาจากประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ มือถือ และภาษาที่ใช้ ถ้าเกิดวันนึงเราต้องเปลี่ยนทุกอย่างเป็นภาษาจีนหรือรัสเซียลองคิดดูว่าจะกระทบขนาดไหน? บ้านเราแม้มีการส่งเสริมให้คนอ่านเขียนภาษาจีนและรัสเซียจำนวนมากแต่ภาษาราชการหลายๆอย่างก็ยังเป็นภาษาอังกฤษ แล้วผมอยากให้คิดอย่างนึง หลายๆคนอาจจะบอกเราก็พึ่งจีนสิ หึหึ อยากจะให้ไปถามคนรุ่นก่อนๆ ซะหน่อยว่า คุณไม่อายหรอ เพราะเมื่อก่อนคนไทยดูถูกคนจีนมาก จนมีคำด่า "ลุกเจ๊ก" เลยทีเดียว วินาทีนี้คิดจะพึ่งเขา หึหึ ผมอยากจะหัวเราะจริงๆ แต่มันไม่เกี่ยวกับ IT นินะ นอกเรื่องไปแระกลับมาๆ ต่อนะครับ คือการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหัน มันทำให้ เทคโนโลยีหยุดนิ่ง ระบบปฏิบัติการที่ใช้อยู่ปัจจุบันจำเป็นจะต้องหยุดทุกอย่าง และหาทางใหม่ อาจจะต้องเลิกใช้ Windows และให้ไปใช้ Linux หรือ Baidu อย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหา แต่ผมบอกเลยเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทาง การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ ไม่ให้เกิดการคว่ำบาตรเกิดขึ้น
ยุคนี้ยุคแห่งการสื่อสารไร้ขอบเขต ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือใช้และบางคนถึงกับใช้ Smartphone แน่นอนสิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรมทางตะวันตกที่ส่งมาถึง การคว่ำบาตรจะมีผลต่อทางนี้แน่นอน ถ้าเกิดการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยี เราอาจจะติดต่อกับทางนั้นได้ยากขึ้นรับรู้ได้ยากขึ้น ข่าวสารจะถูกปิดกั้น IT ที่ควรจะถูกส่งมาก็จะถูกหยุดลง โดยพื้นฐานประเทศไทยก็ไม่ใช่ผู้พัฒนาแต่เป็นผู้รับอยุ่แล้ว หากผู้รับไม่ได้รับจากผู้ให้ และไม่มีใครให้เรา เราก็ต้องใช้ในสิ่งที่เรามีอยู่ อาจจะไม่ถึงกับเดือดร้อน แต่ว่าเราจะหยุดการพัฒนาโดยทันที ฉะนั้นผมภาวนาอย่าให้เลยเถิดไปถึงขั้นนั้นเลย
การคว่ำบาตรไม่มีผลดีกับใครเลยผมไม่อยากให้เกิดการหยุดพัฒนาทางเทคโนโลยี ด้าน IT ที่สุด ในฐานะที่เป็นคนบ้า IT คนนึง ชื่นชอบการพัฒนาของมือถือ คอมพิวเตอร์ เข้าใจและหลงใหล จึงไม่อยากให้หยุดการพัฒนาด้านนี้ที่สุดและมีจุดยืดที่ชัดเจนคือ การเปิดกว้าง เทคโนโลยี ไม่เคยหยุดนิ่งแต่ตัวเราตังหากที่ไม่สามารถตามมันได้ทัน แต่จงอย่าหยุดเรียนรู้ เพราะสิ่งใหม่ๆรอเราอยู่ ต้องเรียนรู้ไม่หยุดแล้วจะรู้ว่ามันสนุกแค่ไหน
วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ปัญหาระดับประเทศเรื่องอินเตอร์เน็ต!!
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ายุคนี้คือยุคของการสื่อสารทั่วโลก โดยสื่อที่ใช้นั้น คือ อินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะผ่านอุปกรณ์อะไรการมีอินเตอร์เน็ตทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมถึงกันได้ทั่วโลก นั่นคือสิ่งอัศจรรย์มากในยุคนี้ และอินเตอร์เน็ตก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ กับชีวิตคนทั่วไป แต่!! มันก็มีข้อดีมาก มันก็มีข้อเสียด้วย
(รูปประกอบจากเว็บ : http://xn--r3ckmn7exc7b.com/blog/wp-content/uploads/2013/11/Internet-IPv6.jpg)
อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางสื่อสารที่อิสระและยากจะจัดการ เนื่องจากเครือข่ายที่ใหญ่โตมโหฬาร ทำให้หลายประเทศ ต้องมีนโยบายที่บล๊อกไม่ให้เกิดความวุ่นวายมากเกินไป แต่นั่นแค่การแก้ไขปัญหาที่ได้ผล น้อยมาก ปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเว็บโป๊ เว็บหมิ่น คำหยาบคาย ละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ สิ่งพวกนี้ไม่ใช่จะแก้ปัญหาได้เพราะนโยบายเด็ดขาด เพราะอะไร? มนุษย์เราโดยส่วนใหญ่ เป็นพวกยิ่งห้ามยิ่งยุ ยิ่งคนยุคใหม่ที่เกิดมาในยุคนี้ที่อินเตอร์เน็ตเข้าถึงได้ตั้งแต่ 3 ขวบ เด็กยุคนี้ย่อมมีความคิดเป็นของตัวเองสูง และแคร์จริยธรรมน้อยลง พ่อแม่จำเป็นจะต้องรู้ตามลูกให้ทันด้วย แต่ว่าปัญหาของมันไม่ได้จบแค่นี้
ปัญหาที่พบในการใช้อินเตอร์เน็ตบ่อยครั้งคือการใช้อย่างไม่คำนึงถึงผลกระทบ บ่อยครั้งที่เกิดนักเลงคีย์บอร์ด และการที่อินเตอร์เน็ตไม่ต้องเห็นหน้ากันนั่นเองทำให้เกิดความขัดแย้งมากมาย และกลายเป็นไฟรามทุ่งถึงขนาดที่สามารถกลายเป็นโลกจริง เช่น การขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย หรือ การขัดแย้งทางศาสนาของหลายประเทศ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถป้องกันได้ แม้ประเทศจะเป็นระบอบปกครองแบบใดก็ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ เผ็ดจการ ก็ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะอะไร? เพราะสิ่งเหล่านี้คือนโยบาย แต่การป้องกันมันต้องป้องกันที่ตัวคน โดยให้คนมีภูมิคุ้มกัน
หลายคนที่ใช้อินเตอร์เน็ต เด็กยุคใหม่ที่เกิดขึ้น ใช้อินเตอร์เน็ตโดยไม่มีภูมิคุ้มกัน แสดงความคิดเห็น รับรู้ โดยขาดการพิจารณารอบด้าน ขาดการไตร่ตรองในการคิดและการทำ บ้างก็คิดว่าการทำตัวเองนั้นถูกต้อง เพราะเห็นคนอื่นทำมาก่อน นั่นคือปัญหาที่เกิดขึ้นในการใช้อินเตอร์เน็ตและเป็นปัญหาระดับชาติ
ปัญหาเหล่านี้ถูกมองข้ามไปไกลมาก แต่กลับป้องกันที่นโยบาย เช่นบล๊อกเว็บ การบล๊อกเว็บไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย ปัญหาไม่ได้เกิดจากการที่เทคโนโลยีไม่ดี และเราไม่สามารถปิดกั้นความเจริญได้ แต่ว่าปัญหาเกิดจาก "คน" แต่ "คน" ไม่ยอมรับ ปัญหาเกิดจากการขาดการแนะนำในการใช้อินเตอร์เน็ต ผู้ใหญ่ละเลยเพราะไม่มีเวลา ทำให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง และเข้าใจไปเอง บางคนคิดว่าการถ่ายคลิปลง Youtube หรือเว็บอื่นๆ เป็นเรื่องดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมาพร้อมกับเทคโนโลยี ไม่สามารถปิดกั้นได้ แต่หากเรามีการสอนภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและคน โดยไม่ให้หลงไปกับสื่อ ไม่ให้หลงไปกับสิ่งที่รับรู้ ก่อนจะคิดว่าดีหรือหรือไม่ดี ให้ทำการพิจารณาให้รอบด้านก่อนว่า สื่อที่รับมานั้นมีการใส่อคติ(Bias) ลงไปหรือไม่ มีหลักฐานมากน้อยเพียงใด และหากคิดจะโพสหรือทำอะไรลงในอินเตอร์เน็ต ควรจะมีการไตร่ตรองว่า ผลกระทบนั้นมากน้อยเพียงใด อย่างน้อยควรจะพิจารณาถึงผลกระทบกับตัวเองและคนสำคัญกับตัวเองว่า ถ้าทำไปนั้น จะเกิดอะไรขึ้นและคุ้มหรือไม่ที่จะทำ สิ่งที่โพสหรือทำในอินเตอร์เน็ต มันเร็วมาก Twitter,Facebook เป็นตัวอย่างที่ดีและยังมี Ask.fm เข้ามาใหม่ สื่อ Social กว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่จริยธรรมต่ำลงและการปิดหูปิดตากว้างขึ้น?? มันไม่ได้เลย
พูดง่ายๆเลย ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ การใช้นโยบายมาจัดการเทคโนโลยี ซึ่งมันก็คือเขียนเสือให้วัวกลัว แต่ปัจจบุันคือ วัวเดี๋ยวนี้มันไม่กลัวเสือแล้ว คนฉลาดมากขึ้นรู้มากขึ้น แต่ปัญหาคือ จริยธรรมลดน้อยลง การพิจารณาลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้คือปัญหา และมาลงสู่อินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตมันแค่สื่อสื่อที่อำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารเท่านั้น แต่คนใช้น่ะแหละปัญหา ปัญหาระดับชาติ ไม่ใช่อินเตอร์เน็ต หรือเทคโนโลยี ผู้ใหญ่ยุคเก่ามักมองกันแบบนี้ตลอด แต่ปัญหาคือ ผู้ใหญ่น่ะละเลยมาโดยตลอดตังหาก นี่คือปัญหาที่แท้จริง ละเลยในการสอนและพิจารณา ละเลยจริยธรรม ละเลยคุณธรรมยุติธรรม แล้วไปโทษอินเตอร์เน็ต ในส่วนตัวผมคิดว่า ตต่อให้ปิดเว็บโป๊ เว็บหมิ่น เว็บละเมิดลิขสิทธิ์เท่าไรก็เปล่าประโยชน์ ปิดเว็บโป๊ะ เพราะกลัวเด็กเรียนแบบบ นั่นมันคิดผิดแล้วแหละ ควรจะสอนให้ดีกว่าไหมว่า สิ่งเหล่านี้คือเพศศึกษาอย่างนึง หนังโป๊มันคืือการแสดง ผู้แสดงหนังเขาจะต้องมีการระวังยังไง และสิ่งที่เขาทำเนี่ยมันดีหรือไม่ แล้วเราควรจะทำตามหรือไม่ เสียเวลาสักนิด สอนสักหน่อย ไม่ใช่ เอ๊ะอะๆ ก็ปิด เฮ้ยมันไม่ดี? แต่มันไม่ดีไงล่ะ ไม่เคยอธิบายปิดแม่งเลย เด็กเมื่อก่อนคงทำได้ แต่เดี๋ญวนี้มันไปไกลแล้ว อย่างที่บอกอินเตอร์เน็ต เข้าถึงตั้งแต่ 3 ขวบ มันไม่ได้หรอก ทางที่ดี ควรจะมีการสอน และให้คนเข้าถึงความรู้และจริยธรรม คุณธรรมดีกว่า
วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
รัฐประหารอุปสรรคการพัฒนา
การพัฒนาประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
แต่หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นด้าน IT แต่ทั้งนี้หลายๆประเทศก็จะมีกฎหมายเกี่ยวกับ ICT
แน่นอน
เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นและกีดกันเหตุร้ายที่เกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งใดที่ทุกคนไม่คาดคิดเลยคือการรัฐประหาร
การรัฐประหารคืออะไรแล้วจะมีปัญหาอย่างไร?
อย่างแรกเลยรัฐประหารมักจะเกิดจากทหารร้อยละ 95% ที่เหลือจะเกิดจากเหตุอื่น
แต่ไม่ว่าอย่างไรย่อมส่งผลร้ายมากกว่าดีแน่นอน การรัฐประหารคือการที่คนกลุ่มหนึ่ง
ไม่พอใจกับสถานการปัจจุบันไม่ว่าจะหวังดีหรือหวังร้าย
ออกมาทำการต่อต้านรัฐบาลและยึดอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลซะ
และให้ตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่แทน แน่นอนว่าวิธีการพวกนี้ไม่ใช่แนวทางที่นานาประเทศยอมรับ
บางประเทศถึงกับตัดการทูตทันที ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ว่ามีผลยังไง
มันมีผลกระทบมากมาย มันหมายความว่าการทำการค้า การแลกเปลี่ยนแรงงาน หรือ
การเจรจาต่างๆถูกตัดขาดจากประเทศนั้นๆ ซึ่ง
หากเราเป็นประเทศมหาอำนาจคงจะไม่มีปัญหาสักเท่าไร แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ล่ะ คิดง่ายๆ
ถ้าเราถูกตัดการทูตจากยุโรป หรือจีน เราจะไม่สามารถส่งของออกไปค้าขายกับจีน
ไม่สามารถส่งแรงงานไปต่างประเทศได้ จะส่งผลกระทบขนาดไหน? บางคนบอกว่า เฮ้ย
งั้นเราก็อยู่ด้วยตัวเองให้ได้สิ คำตอบคือมันอยู่ไม่ได้ครับ เพราะอะไร? ร้อยละ 60
ของรายได้ของเราคือการส่งออก
และเรานำเข้าสินค้าต่างประเทศเยอะมาก หากเราถูกตัดความสัมพันธ์ทางการค้าเมื่อไร
ประเทศจะมีปัญหา นายทุนหลายรายจะล่มจม การพัฒนาจะหยุดชะงัก เนื่องจากเรามีการพึ่งพานวัตกรรมจากต่างประเทศมากเกินไป
ประเทศจะหยุดนิ่งทันที นั่นคือสิ่งที่เขากลัวในการตัดการความสัมพันธ์ทางการทูต
ผมอาจจะพูดให้โหดร้ายไปหน่อย แต่ความจริงแล้วมันหนีไม่พ้นถ้าเกิดขึ้น ฉะนั้น
การรัฐประหารจึงดูน่ากลัว ถ้าเกิดผลกระทบอย่างนี้ แล้วกระทบกับการพัฒนายังไง
1.
ประเทศจะหยุดการทำวิศวะกรรมหลายๆอย่าง
เพราะต้องชะลอโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า หรือ การทำถนน
2.
การสื่อสารถูกคุกคาม
สาเหตุเพราะภายใต้การรัฐประหารนี้ห้ามให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น
3.
ต่างประเทศอาจจะตัดการทูตได้
เพราะหลายประเทศรังเกียจประเทศรัฐประหารบ่อย
4.
เทคโนโลยีต่างๆจะหยุดชะงักทันที ไม่ว่าจะเป็นด้าน
IT หรือวิศวะกรรมอื่นๆ สาเหตุเพราะ ต้องรอคำสั่งอนุญาติจากคณะรัฐประหาร
แต่การลงทุนรอไม่ได้ส่งผลให้การค้าขาดทุน และการค้าระหว่างประเทศ ทำไม่ได้
ลูกค้าจำเป็นจะต้องไปที่อื่น และบางทีอาจจะไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งย่อมส่งผลเสียทางด้านการค้าแน่นอน
และด้าน IT ก็เกิดปัญหาจากการหยุดชะงักของเทคโนโลยี จะทำให้บ้านเมืองล้าหลังจากชาวบ้านทันที
บางคนจะเถียงว่าไม่จริง หรือบางคนบอกของพวกนี้ไม่มีก็ไม่ตาย สิ่งที่คุณพูด
ไม่จริงนั้น อาจจะมีเหตุผล แต่ที่แน่ๆคุณปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า โลกพัฒนาขึ้น
การสื่อสารต่างประเทศไปเรื่อยๆ แต่บ้านเรายังอยู่ที่เดิม เพราะผลกระทบจากการทำรัฐประหารไง
5.
รัฐบาลไม่เป็นตัวของตัวเอง ประชาชนไม่ยอมรับ
และต่อต้าน เศรษฐกิจชะงัก ทันที ตลาดหุ้นผันผวน
อีกมากมายล้วนคือผลกระทบของรัฐประหาร ฉะนั้นคนที่สนับสนุนการรัฐประหารขอให้คิดให้ดี
ว่ามันมีผลกระทบยังไงบ้าง ชอบได้ รักได้ ไม่ว่าจะเป็นยังไง แต่ถ้าทำอะไรไปแล้ว
ต้องถามตัวเองว่า “กล้ารับผิดชอบไหม?”
ผมบอกเลยผมไม่ทำอะไรได้แต่โพสเพราะผมรับผิดชอบไม่ได้ แต่หลายๆคนทำไปแล้ว กลับไม่คิดถึงคำว่า “รับผิดชอบเลย”
ยิ่งคณะรัฐประหารแล้วไม่ต้องพูดถึง เขาไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น
คนรับผลกระทบคือประชาชนตาดำ สำหรับผมแนวทางที่ดีในถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นคือ
การปรับตัวครับ ยอมรับในผลกระทบและหยุดพัฒนาจากนั้นปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
เพราะคนตัวเล็กๆนี้ทำอะไรไม่ได้ แต่ผมบอกเลย ผมไม่สนับสนุนรัฐประหารแน่นอนครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)